
แซดทีอี คอร์ปอเรชัน (ZTE) บุกไทยเปิดตัวสมาร์ทโฟนทั้งจาก ZTE, Nubia และ Redmagic พร้อมกัน 5 รุ่นทั้ง ZTE Blade A31plus, ZTE Blade A51, ZTE Blade V30 Vita, Axon 30 5G และ Redmagic 7 ราคาเริ่มต้นเพียง 2,599 บาท
สำหรับสมาร์ทโฟนที่เปิดตัวในไทยทั้ง 5 รุ่น มีสเปคและราคาดังนี้
ZTE Blade A31 Plus : จอใหญ่ขนาด 6 นิ้ว กล้องหลัก 8MP AI พร้อม LED แฟลช กล้องหน้า 5MP แบตเตอรี่ 3000mAh รองรับการชาร์จ 10W รองรับ Google Assistant และการใช้งาน 2 ซิม (Nano SIM) 4G LTEหน่วยความจำภายใน RAM 2GB + ROM 32 GB ราคา 2,599 บาท
ZTE Blade A51 : จอใหญ่ขนาด 6.5 นิ้ว HD+ กล้องหลัง 2 ตัว ความละเอียด 13MP + 2MP พร้อม LED แฟลช กล้องหน้า 5MP แบตเตอรี่ 3200mAh รองรับการชาร์จ 10W รองรับ Google Assistant 2 ซิม (Nano SIM) 4G LTE หน่วยความจำภายใน RAM 3GB+ ROM 64 GB ราคา 3,699 บาท
ZTE Blade v30vita : จอใหญ่ขนาด 6.75 นิ้ว 90Hz ความละเอียด HD+ กล้องหลัง 2 ตัว ความละเอียด 48MP + 2MP AI พร้อม LED แฟลช กล้องหน้า 8MP แบตเตอรี่ 6000mAh รองรับการชาร์จ 22.5W ชาร์จไว รองรับ Google Assistant 2 ซิม (Nano SIM) 4G LTE รุ่นหน่วยความจำภายใน ROM 4GB + RAM 64 GB ราคา 4,999 บาท และรุ่นหน่วยความจำภายใน ROM 4GB + RAM 128 GB ราคา 5,299 บาท
Axon 30 5G : จอใหญ่ขนาด 6.92 นิ้ว FHD+ AMOLED ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 870 ระบบปฏิบัติการ ZTE MyOS11 บน Android 11 กล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียด 64MP + 8 MP + 5MP + 2MP พร้อมแฟลช กล้องหน้า 16MP แบตเตอรี่ 4200 mAh รองรับการชาร์จไว 55W รองรับ 2 ซิม (Nano SIM) 5G ซึ่งนำมาจำหน่ายทั้งรุ่นหน่วยความจำภายใน ROM 8GB + RAM 128GB และรุ่นหน่วยความจำภายใน ROM 12GB + RAM 256 GB ราคา 12,990 บาท และ 17,990 บาท ตามลำดับ
Redmagic 7 : จอใหญ่ขนาด 6.8 นิ้ว มีรีเฟรชเรท 165Hz พร้อมความเร็วTouch sampling rate ที่ 720Hz ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8 Gen 1 และมีระบบระบายความร้อนตัวเครื่อง แบตเตอรี่ขนาด 4500mAh รองรับการชาร์จเร็ว 65W รองรับ 2 ซิม (Nano SIM) ที่เหมาะกับสายเกมเมอร์
มี 3 รุ่น คือ รุ่น SUPERNOVA หน่วยความจำภายใน ROM 18GB + RAM 256GB, รุ่น PULSAR หน่วยความจำภายใน ROM 16GB + RAM 256GB และรุ่น OBSIDIAN หน่วยความจำภายใน ROM 12GB + RAM 128GB มาจำหน่าย ราคาประมาณ 31,990 บาท 28,990 บาท และ 24,990 บาท ตามลำดับ
ในการทำตลาดในไทยทาง ZTE จะมาพร้อมกับกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่จะผนึกกำลังกับแบรนด์ในเครือ โดยจะทำการประชาสัมพันธ์ทั้งช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์
ขณะเดียวกันก็ยังให้ความสำคัญกับช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่งจะใช้การบริหารช่องทางแบบ Omni-Channel ผ่านพันธมิตรอย่าง บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท วายเอ เซลส์ แอนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด ในกลุ่ม เบญจจินดา
“ไทยเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับ ZTE จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการใช้งานสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะที่การสั่งซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีเพิ่มมากขึ้นซึ่งมีผู้ใช้งานอีคอมเมิร์ซในไทยที่เติบโตเฉลี่ย 15% ทุกปี และสัดส่วนผู้ใช้งานซื้อของออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือมีมากถึง 70% ประกอบกับการที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยต่างจัดแคมเปญส่งเสริมการตลาดเพื่อให้ผู้บริโภคสนใจใช้บริการบนเครือข่าย 5G จึงทำให้สมาร์ทโฟน 5G คุณภาพดี ในราคาที่เอื้อมถึงง่ายเป็นที่ต้องการในขณะนี้ ทั้งกลุ่มผู้เริ่มใช้สมาร์ทโฟนก็เป็นเซ็กเมนต์ที่ยังมีความต้องการอยู่มาก เนื่องจากสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นที่มีอยู่ในตลาดยังขาดผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพ”
ชอว์น เผย์ ผู้จัดการทั่วไป โทรศัพท์มือถือประจำประเทศไทย แซดทีอี คอร์ปอเรชัน
ทั้งนี้ ZTE ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟน 2% ในปี 2565 นี้ และจะเพิ่มเป็น 5% ภายใน 3 ปีจากนี้ พร้อมวางแผนตั้ง Flagship store ในปี 2024 คู่ไปกับการขยายช่องทางจำหน่าย และการให้บริการหลังการขายให้ครอบคลุมทั้งออนไลน์และออฟไลน์
สำหรับ วีเอสที อีซีเอส จะดูแลรับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวันตก กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจัดจำหน่ายผ่านทั้งช่องทางหน้าร้านดีลเลอร์และช่องทางออนไลน์ในพื้นที่ดังกล่าว โดยที่ปัจจุบันบริษัทฯ มีดีลเลอร์ในพื้นที่รับผิดชอบกว่า 7,000 ราย
ส่วน YAS ได้รับการแต่งตั้งให้จัดจำหน่ายและจัดส่งสมาร์ทโฟนให้กับ ZTE ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก กรุงเทพฯ และปริมณฑล รับผิดชอบทั้งการจัดจำหน่ายให้กับหน้าร้านขายโทรศัพท์มือถือและช่องทางออนไลน์ในพื้นที่ดังกล่าว รวมจำนวนพันธมิตรช่องทางจัดจำหน่ายในพื้นที่ดังกล่าวกว่า 3,500 ราย