อย่างที่เกริ่นกันไปว่า ทาง mxphone ได้รับเกียรติเชิญไปร่วมงานเปิดตัว Plantronics Voyager Edge & BackBeat FIT ที่ประเทศสิงคโปร์ และได้กลับมารีวิวกันตัวเป็นๆ เอาล่ะเรามาจะมารีวิวเจ้าหูฟังบลูทูธตัวเก่ง Voyager Edge จาก Plantronics กันครับ ว่าหูฟังที่ออกแบบมาเพื่อคนที่ชีวิตไม่เคยหยุดนิ่งมันเป็นยังไง มันน่าใช้งานตรงไหน
คุณสมบัติของหูฟังบลูทูธ Plantronics Voyager Edge
– มีแท่นเคสชาร์จได้ในตัวในชุดขาย
– สนทนาต่อเนื่องสูงสุด 6 ชั่วโมง (เพิ่มอีก 10 ชั่วโมง จากแท่นเคส)
– เปิดเครื่องสแตนด์บายนานสูงสุด 7 วัน
– น้ำหนักไม่รวมแท่นเคส 9 กรัม
– มีสมาร์ทเซ็นเซอร์รับสายอัตโนมัติเมื่อสวมใส่
– มีระบบตัดเสียงรบกวนด้วยไมโครโฟน 3 อัน
– มีระบบปรับความดังเสียงอัตโนมัติ
– ป้องกันคราบเหงื่อได้ด้วย P2i nano-coating
– เชื่อมต่อพร้อมกันได้สองเครื่อง รับสายจากเครื่องไหนก็ได้
– รองรับบลูทูธเวอร์ชั่น 4.0 รองรับโปรไฟล์ A2DP, HFP, HSP, EDR
– รองรับการเชื่อมต่อด้วย NFC pairing
– แสดงปริมาณแบตเตอรี่ได้บนหน้าจอ iPhone, iPad และ Android ผ่านแอพ Plantronics
– ชาร์จด้วย microUSB ใช้เวลา 90 นาทีเต็ม
– ประกันตัวเครื่อง 1 ปีเต็ม
– มีขายทั้งหมดสามสี (Carbon Black, Slate Grey, Glacial White)
คุณสมบัติเยอะมาก เรามาแกะกล่องดูกันเลยดีกว่ามีอะไรบ้าง กล่องแพ็คเกจดูมีชาติตระกูลมาก กว่าจะแกะได้ก็หลายชั้นหน่อยล่ะ
กล่องเป็นฝาพับเปิดปิดอย่างดี เปิดออกมาก็เจอตัวบลูทูธ Voyager Edge และแท่นชาร์จเข้าชุด
ขั้นตอนต่อไปต้องดึงกล่องออกมาจากกล่องพลาสติกอีกที… หลายชั้นไหมล่ะ แล้วเราก็จะได้กล่องกระดาษแบบนี้
เปิดฝากล่องออกมาอีกรอบ… ก็จะมีอุปกรณ์กับเอกสารคู่มือหลากหลายภาษาอยู่ข้างในครับ
อุปกรณ์ภายในกล่องทั้งหมดก็มีดังนี้
– หูฟังบลูทูธ Plantronics Voyager Edge
– แท่นเคสเข้าชุดกันชาร์จได้ในตัว
– สาย USB Cable
– ที่ชาร์จในรถยนต์
– ที่คล้องหู และยางหูฟังสองขนาดให้เปลี่ยน
– คู่มือการใช้งาน
จุดเด่นของ Plantronics Voyager Edge ที่ไม่เหมือนใครน่าจะเป็นแท่นเคสที่แถมมาให้ชุดขายแบบเข้าคู่กัน มันดูล้ำดี ใช้เก็บและเสียบชาร์จได้ นอกจากนี้มันยังมีแบตเตอรี่ในตัวเพื่อชาร์จให้กับหูฟังได้แบบไม่ต้องเสียบปลั๊ก โดยทำให้หูฟังบลูทูธใช้งานสนทนาต่อเนื่องได้นานขึ้นถึง 10 ชั่วโมงครับ
โดยเจ้าแท่นชาร์จเนี่ยจะมีไฟ LED แสดงสถานะแบตเตอรี่ ด้านซ้ายแสดงแบตของแท่นชาร์จ ส่วนอันขวาบอกแบตของตัวหูฟัง ตรงกลางมีหัวต่อ dock ฝังอยู่ด้านในเสียบเข้าชุดได้เลยขนาดพอดีกันเป๊ะๆ ซึ่งก็จะมีช่อง MicroUSB สำหรับเสียบกับสายเคเบิ้ลอีกทีด้วย โดยที่มีที่ห้อยมาให้ด้วยนะ
ด้านตัวหูฟัง Plantronics Voyager Edge ออกแบบมาเพียวสลิมพอตัว ที่สำคัญน้ำหนักเบามากกกก แค่ 9 กรัมเองครับ แต่ก็ดูแข็งแรงใช้ได้เลย
ส่วนหัวนั้นมีปุ่ม เพิ่ม/ลด เสียงอยู่ข้างๆ ช่อง Micro USB ตรงมุมสันที่เห็นจุดเล็กๆ นั่นเป็นที่แสดงไฟ LED สถานะต่างๆ
อีกด้านนึงเป็นปุ่มพาวเวอร์สวิทช์แบบเลื่อนครับ
ส่วนของหูฟังมียางครอบแบบมีหูไว้เหน็บในรูหูเป็นแบบใสๆ เปลี่ยนได้นะครับ มีทั้งหมดสามขนาด
ที่ตัวหูฟังบลูทูธช่วงไมโครโฟนจะมีปุ่มคำสั่งเสียงติดอยู่ให้ใช้งานด้วย
ส่วนด้านในจะมีส่วนต่อ Dock ที่เอาไว้เสียบกับแทนชาร์จเฉพาะของ Plantronics Voyager Edge
โดยรวมแล้วถือเป็นหูฟังบลูทูธที่ออกแบบมาให้ใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องตัว เพราะน้ำหนักเบา ใส่ไว้ที่หูสักพักจะลืมไปเลยว่ามีมันอยู่ที่ใบหูของเราครับ แต่จริงๆ ด้วยฟังก์ชั่นมันแล้ว เราไม่จำเป็นต้องใส่ไว้ตลอดเวลาก็ได้ครับ
ความสามารถของ Plantronics Voyager Edge
– Smart Sensor เทคโนโลยีที่เข้าท่ามากๆ เมื่อเราไม่ได้เหน็บใส่หูไว้ ตัวบลูทูธจะล็อคไม่ให้หูฟังสั่งโทรออกได้ เช่นเดียวกัน เมื่อมีสายเข้าแล้วหยิบมาใส่หูจะรับสายให้โดยอัตโนมัตินะครับ หากเราเหน็บหูเอาไว้อยู่แล้วจะมีระบบเสียงบอกหมายเลขหรือชื่อที่บันทึกเมื่อมีสายเข้า และสามารถสั่งว่า Answer เพื่อรับสายได้โดยไม่ต้องกดปุ่มเลย
– แท่นชาร์จพกพา ตัวนี้แปลกใหม่และก็เข้าท่าอีกนั่นแหละ ตัวแท่นชาร์จที่ให้มากับชุดขายนั้น มันมีแบตเตอรี่ในตัวสามารถชาร์จให้กับตัวหูฟังใช้คุยสนทนาได้อีกกว่า 10 ชั่วโมงต่อเนื่อง!! รวมเข้ากับ Car Charge บอกได้เลยว่าไม่มีพลาดแบตหมดระหว่างวันแน่
– เชื่อมต่อผ่าน NFC บางทีการเชื่อมต่ออุปกรณ์บลูทูธอาจจะเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับบางคน แต่หากโทรศัพท์ที่มี NFC จะสามารถเชื่อมต่อได้เพียงแค่แตะสัมผัสกันตรงจุดปุ่มรับสายครับ ง่ายและสะดวกมากๆ โดยมันสามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ได้สองเครื่องพร้อมกัน
– Voice command หรือคำสั่งเสียง เราสามารถสั่งรับสาย หรือตัดสายทิ้งได้ด้วยเสียงเมื่อมีการโทรเข้า ต้องสั่งเป็นภาษาอังกฤษนะ!! เช่น Answer หรือ Ignore เมื่อตัดสายแล้วก็สามารถกดปุ่มคำสั่งเสียง แล้วพูดว่า Call back เพื่อโทรกลับได้ด้วยล่ะ สะดวกโครต
การใช้งาน และคุณภาพเสียง
การทำงานของ Plantronics Voyager Edge นั้นใช้งานได้หลากหลายดีครับ อย่างที่บอกไปแล้ว เมื่อเราไม่ได้เหน็บใส่หูไว้ ตัวบลูทูธจะล็อคไม่ให้หูฟังสั่งโทรออกได้ เช่นเดียวกัน เมื่อมีสายเข้าแล้วหยิบมาใส่หูจะรับสายให้โดยอัตโนมัติ หากมีคนโทรเข้าขณะใส่หูอยู่ก็จะมีระบบเสียง ซึ่งสั่งงานได้เลยแบบอนาล็อคก็ยังมีอยู่นะ กดปุ่มรับสายได้ที่ตัวหูฟังบลูทูธ วางสายก็เช่นกัน หากกดสองครั้งติดจะเป็นการโทรออกเบอร์ล่าสุดครับ
แต่สำหรับคำสั่งเสียงนั้นจะต้องกดปุ่มข้างๆ ไมโครโฟนด้านข้างตัวหูฟัง ระบบจะบอกให้เราออกคำสั่ง “Say command” หากต้องการโทรกลับหมายเลขล่าสุดก็แค่พูด “Call back” หรือ “Check battery” หากต้องการเช็คระยะเวลาที่ใช้ได้ประมาณนี้ครับ หากพูดผิดมันก็จะบอกเราว่าใช้คำสั่งไหนได้บ้าง
ขณะสนทนาเรายังสามารถสั่งปิดไมโครโฟนได้ด้วยปุ่มคำสั่งเสียงนั่นแหละ กดอีกครั้งเพื่อเปิดไมค์ครับ เวลาจะเพิ่มเสียงต้องกดปุ่มเอานะ
สำหรับคุณภาพเสียงถือว่าโอเค เพียงแต่ยังไม่ยอดเยี่ยมเท่าไหร่นักแลกกับราคาที่ต้องจ่าย เพียงแต่ปลายสายจะไม่ค่อยมีเสียงรบกวนเลย ด้วยเทคโนโลยีที่มีไมค์ถึงสามจุด ช่วยลดเสียงรบกวน เสียงสะท้อนต่างๆ รวมถึงเสียงลมด้วยนะเวลาอยู่ในที่ลมแรงๆ อันหลังถือว่าเจ๋ง
สรุป Plantronics Voyager Edge นั้นถือว่าช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันได้จริง ลูกเล่นต่างๆ ค่อนข้างเยอะครับ น้ำหนักก็เบาพกง่าย ใส่หูก็เบาจนลืมว่าใส่อยู่ด้วยซ้ำ ตัวบอดี้ก็ดีไซน์มาดูหรูหราดี แข็งแรงด้วยนะ ทั้งนี้ยังเคลือบด้วยเทคโนโลยี P2i nano-coating ป้องกันเหงื่อเวลาสวมใส่นานๆ ด้วย เพียงแต่ว่าราคาอาจจะดูสูงไปหน่อย โดยวางจำหน่ายในราคา 4,590 บาท แต่แลกกับความสะดวกสบายและฟีเจอร์ที่หูฟังบลูทูธหลายๆ ตัวทำไม่ได้ ก็น่าสนอยู่ครับ