SIM&Frequency
Zenfone 4.5 รองรับ 2 ซิม แบบ Dual-Standby แถมสามารถรับสายซ้อนเข้ามาพร้อมกันจากอีกซิมได้ เพราะมีส่วนบริการโอนสายอีกซิมเข้ามาอีกซึมนึงได้ทันที โดยคลื่นความถี่ที่รองรับคือ 850/900/1900/2100 MHz ทำให้สามารถใช้งาน 3G ได้ทุกเครือข่ายในประเทศไทยครับ สำหรับซิมที่ 2 สามารถใช้งานได้แค่ 2G ที่ต้องสลับทีละซิมเอาจากหน้าเมนู โดยจากที่ทดสอบใช้งานพบว่าตัวเครื่องมักมีปัญหาหากเปลี่ยนการใช้ Data ระหว่างซิม ซึ่งตอนเปลี่ยนนั้นจะทำให้ SIM1 กลายเป็นรับได้แค่ 2G พอเปลี่ยนกลับมาก็กลายเป็นว่าต่อกับ 3G ไม่ได้ ต้องไปค้นหาคลื่นใหม่กันยกใหญ่เพื่อเชื่อมต่อกับ 3G อีกครั้ง ถือว่าเป็นปัญหามาก น่าจะต้องรอ Firmware อัพเดทเพื่อแก้ไขครับ
ตัวเครื่องมีผลกระทบจากการถือจับเครื่องใช้งานน้อย ในแง่การจับสัญญาณ
สัญญาณ Wi-Fi ถือว่ารับสัญญาณได้เสถียรดี ไม่ค่อยมีแกว่งมากนักครับ
Screen
หน้าจอขนาด 4.5 นิ้ว กระจก Gorilla Glass 3 แถมเคลือบสารป้องกันรอยนิ้วมืออีกด้วย ตัวหน้าจอเป็นแบบ IPS LCD ความละเอียด WVGA (800×480) ซึ่งเป็นความละเอียดเดิมเหมือนกับ Zenfone 4 ไม่ยอมอัพเกรดเป็น FWVGA เหมือนแบรนด์อื่นๆที่มีขนาดหน้าจอ 4.5 นิ้วเท่ากัน แต่ก็ไม่ใช่เป็นอุปสรรคอะไรเพราะหน้าจอก็ถือว่าสวยคมชัดใช้ได้อยู่ ถ้าเทียบกับราคา โดยตาม Spec บอกว่ามีความละเอียดพิกเซลต่อนิ้วอยู่ที่ 218 ppi ส่วนมุมมองหน้าจอเนื่องจากเป็นหน้าจอ IPS ก็เลยทดสอบซะหน่อย พบว่าหน้าจอเป็น IPS ที่มีชั้นหน้าจอที่ลึกกว่าปกติ แสดงว่าไม่ได้ออกแบบให้ Panel กับ Touch screen อยู่ชั้นเดียวกัน หน้าจอค่อนข้างจะสะท้อนแสงพอสมควร แต่มุมมองดูได้ที่ 170 องศาครับ
หน่วยประมวลผล
หน่วยประมวลผลของเครื่องใช้เป็นตัวเดียวกับของ Zenfone 4 คือ Intel Atom Z2520 Dual-Core 1.2GHz พร้อมเทคโนโลยี Hyper threading ที่สามารถจำลอง Core เพิ่มเป็น 4 cores ได้นั่นเอง โดยทาง ASUS เองก็เลยโฆษณาว่าเป็นแบบ multi-core นั่นเอง
หน่วยความจำ
หน่วยความจำภายในมีมาให้ถึง 8GB (ROM) ซึ่งทาง ASUS ไม่ได้แบ่ง partition มาให้ แต่มีการระบุว่า System ใช้งานไปที่ 3.46GB ทำให้เหลือใช้งานจริงประมาณ 4.6GB แต่เราจะเห็นพื้นที่ทั้งหมด 8GB ว่ามันมีอะไรอยู่บ้าง สำหรับ 4.6GB ก็ถือว่าเยอะใช้ได้ นอกจากนี้ก็สามารถเพิ่มหน่วยความจำได้สูงสุด 64GB แถมด้วย ASUS WebStorage ให้อีก 5GB ตลอดชีพ โดยรวมก็ถือว่าให้มาเยอะเลยทีเดียวหากเทียบกับราคา
แบตเตอรี่
แบตเตอรี่ของเครื่องให้มา 1,750 mAh ถือว่าไม่มากไม่น้อย สำหรับ Smartphone หน้าจอขนาด 4.5 นิ้ว
ประสบการณ์การใช้งาน
ASUS Zenfone 4.5 มาพร้อมกับ ZenUI เหมือนกับรุ่นก่อนๆ หน้าตาเหมือนๆกัน รูปแบบการใช้งานเข้าใจง่าย icon ดูเผินๆแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร เพราะเน้นใช้สีมากไปหน่อย อันนี้ต้องขึ้นกับความเคยชินแล้วละครับ ตัว UI เองมีปรับแต่งจาก Google Now launcher มาตรฐานไม่มากนัก สามารถเลือกปรับตำแหน่ง icon หรือเปลี่ยน Wallpaper ได้เหมือนทั่วๆไป โดยจากที่ลองใช้งานดูพบว่ามีช่วงหน่วงแบบสังเกตได้ชัดๆอยู่บ่อยครั้งพอสมควร คือมันไม่ได้ไหลลื่นเนียนเหมือนกับของ Zenfone 5 แต่ก็ถือว่าใช้ได้กับ Smartphone ราคาระดับนี้
ความสามารถเพิ่มเติม
ASUS Zenfone ใส่โหมดพิเศษเข้ามาให้ผู้ใช้มือใหม่หรือผู้ใช้ที่ยังเคยชินกับพวก feature phone ธรรมดาๆเข้ามาด้วย คือโหมดง่าย ที่ออกแบบให้ตัว icon ดูใหญ่ ใช้งานได้ง่าย เมนูไม่ยุ่งยากครับ
Reading mode โดยระบบจะมีการปรับแสงอัตโนมัติ เพื่อให้เหมาะแก่การดูภาพหรืออ่านข้อความ โดยคุณสามารถเข้าไปเลือกปรับได้ในเมนูการแสดงผลในการตั้งค่าครับ
Lock screen สามารถถูกปรับแต่งให้มี Application shortcut ได้ตามใจชอบ โดยหลักๆจะมีเมนู Phone, ข้อความและกล้องมาให้ครับ หรือจะเป็นส่วนของ Widget ก็สามารถเปิดใช้งานได้เช่นกัน
Gesture เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพ ก็พอมีเหมือนกัน คือสามารถเลือกปรับให้เข้ากล้องง่ายๆ โดยแค่กดปุ่มปรับเสียง 2 ครั้ง หรือเลื่อนจากหน้าจอด้านขวามาซ้ายในหน้า Lock screen ก็เข้ากล้องได้ทันที
ASUS Zenfone ใส่โปรแกรมที่น่าสนใจมากให้หลายอย่าง ซึ่งนอกจากโปรแกรมพิ้นฐาน เช่น ปฏิทิน, โน้ต, สภาพอากาศ, เครื่องคิดเลขและไฟฉาย แล้วทาง ASUS ได้ใส่โปรแกรมเฉพาะของตัวเองเข้ามาที่ Zen UI ด้วย ดังนี้
Do it later ฟังดูไม่แปลกอะไร เพราะที่จริงแล้วเป็นเหมือนโปรแกรม Task แต่มันฉลาดกว่าตรงที่ว่า มันลิงค์เข้าไปในโปรแกรมอื่นๆของเครื่องแทบหมด เช่น โทรศัพท์เข้า แล้วเรายังไม่อยากรับ แค่กดให้เข้ามาที่ Do it later มันก็จะเก็บไว้ เพื่อเป็นรายการเตือนให้เราโทรกลับได้ในภาพหลัง นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นข้อความหรือ E-Mail ก็มีให้เลือก Save เข้ามาใน Do it later เช่นกัน
What’s next อันนี้ไม่เชิงเป็นโปรแกรม แต่เป็นส่วนของการเตือนที่หน้า Lockscreen และเป็น Widget ในหน้า Home ซึ่งหน้าที่ของมันก็คือ การแจ้งเตือนว่าเรามีกำหนดการหรือ Event ต่อไปอะไรบ้าง วันไหน แล้วมันแสดงที่หน้า Lockscreen และหน้า Home ทำให้สังเกตได้ง่าย และส่วนตัวผมเองก็ชอบมากเลยทีเดียว
Power saving mode ที่เอาไว้ประหยัดพลังงาน เลือกปรับโหมดได้เหมือนคอมพิวเตอร์ว่าจะให้เครื่องเน้นแรงหรือประหยัดพลังาน หรือจะกำหนดเองก็ได้นะครับ
นอกจากนี้ยังมีพวกโปรแกรม Link ต่างๆ มาให้ใช้งาน เช่น ลิงค์ภาพไปแสดงบนหน้าจอขนาดใหญ่เช่น คอมพิวเตอร์หรือทีวีได้ผ่านเทคโนโลยีไร้สายด้วยโปรแกรม PC Link หรือจะเป็นการทำให้ Zenfone เป็น Remote control คอมพิวเตอร์ เช่น เปลี่ยน Slide หรือทำตัวเป็นเม้าส์ หรือ Share Link ที่สามารถเลือกส่งไฟล์ไปยังเครื่องอื่นๆโดยไม่ต้องใช้อินเตอร์เน็ต และมีความเร็วสูง และสุดท้ายกับ Party Link ที่สามารถ Link กับเครื่อง Zenfone อื่นๆ ตลอดเวลา เมื่อถ่ายภาพแล้วภาพก็จะไปโผล่ที่เครื่องเพื่อนๆที่เชื่อมต่อไว้ ด้วยทันที
