จับตัวจริงสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จากแบรนด์ POCO อย่าง F7 Series ที่รอบนี้ตัดรุ่นมาตรฐาน เน้นรุ่นใหญ่โดยเปิดตัวมาทั้ง POCO F7 Pro และ POCO F7 UItra ส่วนจะมีอะไรที่น่าสนใจบ้างมาชมไปพร้อมกัน
แกะกล่อง
เครื่อง POCO F7 Series ที่เราได้มาทำ พรีวิว จะมาพร้อมอุปกรณ์ในกล่องที่ครบ ไม่ว่าจะเป็น เครื่อง POCO F7 / F7 Ultra, สาย USB Type-A to Type-C, อะแดปเตอร์ชาร์จ 60W ของรุ่น Pro และ 120W ของรุ่น Ultra, เคสกันรอยซิลิโคนสีดำ, เข็มถอดถาดซิม และใบรับประกันสินค้าพร้อมคู่มือการใช้งาน




ถือว่าให้ของมาครบ ซึ่งต้องลุ้นกันว่าเครื่องที่ขายในไทยจะได้มาครบแบบนี้ด้วยหรือไม่
ดีไซน์
จากภาพจะเห็นว่า POCO F7 Pro และ F7 Ultra มีดีไซน์ที่คล้ายคลึงกัน แต่ที่สำคัญคือดูดีดูพรีเมี่ยมขึ้นเยอะ โดยที่ทั้งสองรุ่นมีมาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่น IP68 และมีฝาหลังที่ออกแบบให้เป็นเคลือบเงา-ด้านบนกระจกฝาหลัง

เริ่มจาก POCO F7 Pro เครื่องที่เราได้มาเป็นสีเงิน Silver ให้ผิวสัมผัสกระจกโดยเป็น Corning Gorilla Glass 7i ที่ไม่เพียงแต่สร้างความสวยงามที่แตกต่าง แต่ยังคำนึงถึงการใช้งานจริงด้วยการลดรอยนิ้วมือในส่วนที่ผู้ใช้งานสัมผัสบ่อย ตัวเกาะกล้องเป็นทรงกลมขนาดใหญ่อยู่ทางด้านซ้าย โดยมีแถบไฟแฟลช LED เป็นแนวยาวอยู่ทางด้านขวา

ภาพรวมของดีไซน์รุ่นนี้จะเป็นลักษณะแบนเก็บงานส่วนขอบให้โค้งมนไม่บาดมือ โดยมีปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มพาวเวอร์อยู่ด้านขวา ฐานเครื่องมี ช่องใส่ซิม, พอร์ต USB Type-C, ช่องลำโพง และไมโครโฟน




หน้าจอรุ่นนี้เป็นแบบเจาะรูตรงกลางใช้พาแนล AMOLED 6.67 นิ้ว ความละเอียดสูงสุด 1440p+ รีเฟรชเรทสูงสุด 120Hz รองรับ Dolby Vision และ HDR10+ พร้อมความสว่างสูงสุด 3,200nits ความสว่าง HBM 1800nits จึงมอบความชัดเจนที่สดใสและเอฟเฟกต์ HDR มีสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบอัลตราโซนิค

มาต่อกันที่ POCO F7 Ultra ภาพรวมการออกแบบจะไม่ต่างจากตัว Pro รวมถึงขนาดและน้ำหนักเครื่องที่ใกล้เคียงกันมากๆ โดยที่ตัว Pro จะมีสัดส่วน 160.3 x 75 x 8.1 มม. หนัก 206 กรัม ขณะที่รุ่น Ultra สัดส่วน 160.3 x 75 x 8.4 หนัก 212 กรัม

ในแง่ของงานดีไซน์ F7 Ultra จะมีการเพิ่มรายละเอียดบางอย่างให้ดูพรีเมียมกว่าอีกรุ่น ยกตัวอย่างเช่นเครื่องสีดำ ซึ่งเป็นเครื่อง พรีวิว ของเราบริเวณขอบโมดูลกล้องจะมีไฮไลท์เป็นสีทองแดงเสริมลุคให้ดูเด่นขึ้น และส่วนขอบฝาหลังจากโค้งมนมากกว่าตัว Pro เล็กน้อย ขณะที่กระจกบนตัวเครื่องจะเป็น POCO Shield Glass


ส่วนการจัดวางสิ่งต่างๆ ก็คล้ายกับอีกรุ่นมี ปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มพาวเวอร์อยู่ด้านขวา ฐานเครื่องมี ช่องใส่ซิม, พอร์ต USB Type-C, ช่องลำโพง และไมโครโฟน



หน้าจอรุ่นนี้เป็นแบบเจาะรูตรงกลางใช้พาแนล AMOLED 6.67 นิ้ว ความละเอียดสูงสุด QHD+ รีเฟรชเรทสูงสุด 120Hz รองรับ Dolby Vision และ HDR10+ พร้อมความสว่างสูงสุด 3,200 nits มีสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบอัลตราโซนิค เหมือนกับรุ่น Pro ทุกอย่าง

นอกจากการแสดงผลแล้ว จอของทั้งสองรุ่นยังดูแลสายตาของผู้ใช้ด้วยเทคโนโลยี Circular Polarization ที่แปลงแสงโพลาไรซ์เชิงเส้นของหน้าจอเป็นแสงโพลาไรซ์แบบวงกลม ทำให้หน้าจอเลียนแบบแสงธรรมชาติได้อย่างกลมกลืนเพื่อการรับชมที่สบายตามากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการหรี่แสง PWM ความถี่สูง 3840Hz และการปรับความสว่างอัตโนมัติ 16,000 ระดับ ทำให้หน้าจอปรับเข้ากับสภาพแสงที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย

ความสามารถดังกล่าวได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland Low Blue Light (โซลูชันฮาร์ดแวร์), TÜV Rheinland Flicker Free และ TÜV Rheinland Circadian Friendly เพื่อช่วยลดความเมื่อยล้าของดวงตาแม้ในระหว่างการใช้งานเป็นเวลานาน
สเปกภายใน
แม้ภายนอกจะคล้ายกันแต่ไส้ในถือว่าแตกต่าง เริ่มจาก Xiaomi POCO F7 Pro ใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 8 Gen 3 สถาปัตยกรรมการผลิต 4nm มี GPU Adreno 750 ขณะที่ F7 Ultra ใช้ของแรงกว่าเป็น Snapdragon 8 Elite สถาปัตยกรรม 3 nm มี GPU Adreno 830 เพิ่มประสิทธิภาพของ CPU ให้สูงขึ้นถึง 45% และเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU 44% พร้อมทั้งลดการใช้พลังงานได้มากถึง 52% สำหรับ CPU และ 46% สำหรับ GPU

นอกจากนี้ POCO F7 Ultra ยังมาพร้อมชิปกราฟฟิกแบบเฉพาะเป็นครั้งแรกของ POCO ซึ่งก็คือชิปเซ็ต VisionBoost D7 ที่สร้างขึ้นจากกระบวนการ 12 นาโนเมตร ช่วยให้ผู้ใช้เล่นเกมได้อย่างลื่นไหลเป็นพิเศษถึง 120FPS, ความละเอียด 2K Super Resolution และ Game HDR สำหรับคอนทราสต์ที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น

ในส่วนของวิดีโอตัวอุปกรณ์นั้นใช้เทคโนโลยี Dual-core Visuals ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มความละเอียด อัตราเฟรม และคุณภาพ HDR
ด้านหน่วยความจำ POCO F7 Ultra มีตัวเลือก RAM สูงสุด 16GB และ ROM 256GB/512GB ขณะที่ POCO F7 Pro มี RAM 12GB และ ROM 256GB/512GB
แบตเตอรี่ก็เป็นอีกจุดที่แตกต่างซึ่งรุ่น Ultra มากับ แบตเตอรี่ขนาด 5300mAh รองรับชาร์จไวผ่านสายสูงสุด 120W และชาร์จไร้สาย 50W ขณะที่รุ่น Pro แบตเตอรี่ 6000mAh รองรับชาร์จไวผ่านสาย 90W ซึ่งทั้งสองรุ่นยังมีเทคโนโลยีการชาร์จรุ่นใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและอายุการใช้งานด้วยชิปเซ็ตชาร์จ POCO Surge P3 และชิปเซ็ตแบตเตอรี่ POCO Surge G1

ระบบปฏิบัติการทั้งสองรุ่นแกะกล่องมากับ Android 15 คลุมทับด้วย Xiaomi HyperOS 2 (for POCO) และแน่นอนว่าเหมือนกับบรรดามือถือ Redmi และ Xiaomi ที่เปิดตัวในปีนี้คือมีฟีเจอร์ AI ให้ใช้งานทั้งชุดเครื่องมือ HyperAI และ Google Gemini



นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังมีการใช้ WildBoost Optimization 4.0 ยังช่วยยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยที่ตัว Ultra จะประสานการทำงานระหว่างโปรเซสเซอร์ Snapdragon 8Elite และชิปเซ็ต VisionBoost D7 ช่วยให้เกมลื่นไหลด้วยอัตราเฟรมที่เสถียร การตอบสนองการสัมผัสและแทร็กที่ดีขึ้น ทั้งเสียงในเกมยังแม่นยำมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นการเล่นเกม Genshin Impact ที่มีความละเอียดสูง 2K Super Resolution และ 120FPS ได้อย่างทรงประสิทธิภาพตลอดหนึ่งชั่วโมง
ทางด้าน POCO F7 Pro เองก็รองรับ WildBoost Optimization 4.0 โดยมี Smart Frame Rate สูงสุดที่ 120FPS และในเกม Genshin Impact ที่ 90FPS

ด้านการจัดการความร้อน POCO F7 Series ยังมาพร้อมเทคโนโลยีระบายความร้อน LiquidCool 4.0 ที่มีระบบ IceLoop ช่องคู่ 3 มิติด้วยท่อระบายความร้อนแบบลูปขนาดใหญ่พิเศษขนาด 5,400 มม. ช่วยลดอุณหภูมิของ SoC ได้ถึง 3°C
กล้อง
POCO F7 Pro ติดตั้งกล้องหน้า 20 ล้านพิกเซล มีกล้องหลังคู่คือ กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล และกล้อง Ultrawide 8 ล้านพิกเซล รองรับการซูม Optical ได้สูงสุด 2 เท่า และ Digital 20 เท่า ส่วนการถ่ายวีดีโอรองรับสูงสุด 8K@24fps หรือ 4K@60fps

ตัวอย่างภาพจากกล้อง POCO F7 Pro

























ส่วน POCO F7 Ultra จะได้กล้องที่ดีกว่าโดยมีกล้องหน้ามีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล และกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย กล้องหลัก 50 ล้านพิกเซล พร้อมระบบกันสั่น OIS, กล้อง Telephoto 50 ล้านพิกเซล พร้อม Optical Zoom 2.5x และ กล้อง Ultrawide 32 ล้านพิกเซล ซึ่งใครเป็นสายถ่ายภาพต้องการระยะเลนส์ที่ครอบคลุมกว่าตัว Ultra ก็น่าจะตอบโจทย์ที่สุด สำหรับการถ่ายวีดีโอ รองรับสูงสุด 8K@24fps หรือ 4K@60fps

ตัวกล้องหลักของ POCO F7 Ultra ขับเคลื่อนด้วยเซ็นเซอร์ Light Fusion 800 มีระยะโฟกัส 4 ระยะ ได้แก่ 35 มม., 48 มม. และเลนส์เทเลโฟโต้แบบลอยตัวที่ช่วยให้สร้างสรรค์ภาพได้มากขึ้น ตั้งแต่ภาพมาโครในระยะ 10 ซม. ไปจนถึงการซูมแบบออปติคอล 2.5 เท่า (60 มม.) พร้อมกันนี้ยังมี in-sensor zoom 5 เท่า (120 มม.)
ความสามารถทั้งหมดยังได้ถูกเสริมด้วยอัลกอริทึม POCO AISP ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระบบการประมวลภาพเทคโนโลยี Computational Photography AI LM ตัวแรกจาก POCO ซึ่งผสานรวมพลังการประมวลผลของ CPU, GPU, NPU และ ISP ผ่านระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลภาพ จนได้ฟีเจอร์อย่างเช่น 20X UltraZoom Beta หรือจะเป็น UltraSnap ที่รองรับการการถ่ายที่ภาพต่อเนื่องอย่างรวดเร็วสูงสุด 150 เฟรมด้วยความคมชัดของภาพที่สม่ำเสมอ ซึ่งฟังค์ชั่นนี้ก็มีให้เล่นในรุ่น Pro เช่นกัน
ตัวอย่างภาพจากกล้อง POCO F7 Ultra





































ราคาและการวางจำหน่าย
โดยรวมแล้ว POCO F7 Pro และ POCO F7 Ultra เป็นสมาร์ทโฟนที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการสมาร์ทโฟนสเปกสูงในราคาคุ้มค่า

POCO F7 Ultra มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Black และ Yellow วางจำหน่ายที่ช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ mi.com, Lazada, Shopee และ TikTok Shop โดยลูกค้าที่ซื้อสินค้าในระหว่างวันที่ 27 มีนาคม 2568 ถึง 9 เมษายน 2568 สามารถซื้อสินค้าในราคาพิเศษได้ ดังนี้
- รุ่นความจุ 16GB + 512GB ราคาพิเศษ 22,490 บาท (จากราคาปกติ 23,990 บาท)
- รุ่นความจุ 12GB + 256GB ราคาพิเศษ 20,490 บาท (จากราคาปกติ 21,990 บาท)
พิเศษ! เฉพาะลูกค้าที่ซื้อสินค้าบนช่องทาง mi.com รับฟรี Watch 5 Active มูลค่า 1,290 บาท

POCO F7 Pro มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Black, Silver และ Blue วางจำหน่ายที่ช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ mi.com, Lazada, Shopee และ TikTok Shop โดยลูกค้าที่ซื้อสินค้าในระหว่างวันที่ 27 มีนาคม 2568 ถึง 9 เมษายน 2568 สามารถซื้อสินค้าในราคาพิเศษได้ ดังนี้
- รุ่นความจุ 12GB + 512GB ราคาพิเศษ 16,490 บาท (จากราคาปกติ 17,990 บาท)
- รุ่นความจุ 12GB + 256GB ราคาพิเศษ 14,490 บาท (จากราคาปกติ 15,990 บาท)
พิเศษ! เฉพาะลูกค้าที่ซื้อสินค้าบนช่องทาง mi.com รับฟรี Smart Band 9 Active มูลค่า 899 บาท
POCO F7 Ultra และ Pro มาแล้ว! ดีไซน์เฉียบ สเปกล้ำ
POCO F7 Ultra แรงทะลุขีด โชว์พลัง Benchmark ด้วยชิป Snapdragon 8