![]() |
สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน ผ่านไปแล้วกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย ในการที่ตุลาการรัฐธรรมนูญ มีมติให้ยุบพรรคใหญ่ อย่าง ไทยรักไทย และ พรรคเล็กอีก 4 พรรค เหลือรอดมาได้เพียง พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็คงทำให้หลายคนผิดหวัง หลายคนสมหวัง เพราะต่างฝ่ายก็ต่างมีสมาชิก และผู้สนับสนุนอยู่ไม่น้อยทีเดียว บอย่างไรก็ดี ประเทศก็ยังต้องดำเนินต่อไป อย่าไปคิดว่า เหตุการณ์คราวนี้จะทำให้เกิดสิ่งดี หรือสิ่งเลวร้าย ตลอดไป ผมมองว่าเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งขอประวัติศาสตร์ที่จะจารึกไว้เพื่อเป็นบทเรียนให้กับคนรุ่นหลังต่อไป โดยเฉพาะนักการเมือง ที่มีอุดมการณ์ในช่วงเริ่มต้นอาชีพนักการเมือง ตั้งใจจะมาช่วยบริหารประเทศ เป็นปากเป็นเสียงให้กับพี่น้องประชาชน ไปทางไหนก็ยกมือไหว้ชาวบ้านขอคะแนนเสียง ต่อเมื่อได้เป็นนักการเมืองเต็มตัว เริ่มมีอำนาจ เริ่มมีบริวาร เริ่มเห็นช่องทางในการทำมาหากิน นอกเหนือจากรายได้เงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงประจำ ก็เริ่มจะลืมเลือนอุดมการณ์ เหลือแต่ อุดมกู กินทั้งตามน้ำ ทั้งทวนน้ำ พอมีเรื่องราวทุจริตก็หาทางกลบเลื่อนต่างๆนานา และพยายามทุกวิถีทางที่จะยื้ออำนาจเอาไว้กับตัวให้มากที่สุด สุดท้ายก็ต้องมีอันเป็นไปตามกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้นั่นเองครับ กรรมเป็นสิ่งที่คนเราทำไว้ และวิบากกรรมก็คือผลที่จะได้รับจากการกระทำกรรมนั่นเอง กรรมอาจฟังว่าเป็นคำที่ไม่ค่อยดี เหมือนมีทุกข์อย่างไรไม่รู้ อันที่จริง คำว่ากรรมเป็นคำกลางๆ ไม่ดีไม่เลว ต่อเมื่อเรากระทำ ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา หรือใจ ในทางดี หรือไม่ดี อย่างนั้นเราจึงจะเรียกว่ากรรมดี หรือกรรมชั่ว อาจใช้คำว่า กรรมดำ กรรมขาว หรือแม้แต่เป็นกรรมไม่ดี ไม่ชั่ว เช่น ทานข้าว ก็เป็นกรรมกลางๆ ไม่ขาว ไม่ดำ แต่ไม่ใช่เทาๆนะครับ ใครทำกรรมดีไว้มาก วิบากกรรมคือผลของการทำดี ก็จะมีการสนอง เช่นเดียวกัน ในทางตรงข้าม หากใครทำกรรมชั่วก็จะได้รับวิบากกรรมที่มาสนองอย่างแน่นอน ดังนั้น จึงอยากฝากเรื่องกรรม หรือการกระทำ ทางกาย วาจา ใจไว้ให้คุณผู้อ่านได้ทราบเป็นเบื้องต้น เพื่อดำเนินชีวิตให้ปราศจากกรรมดำ และเจริญกรรมขาวให้มากๆยิ่งขึ้นครับ อ้าว กลายเป็นหนังสือธรรมะไปอีกแล้ว เอาเป็นว่า ทนๆอ่านเอาหน่อยนะครับ อย่างน้อย ก็ถือซะว่ามีคนมาบ่นเรื่องกรรมให้ฟัง แต่หากอ่านไปแล้ว สามารถนำไปต่อยอดในการกระทำได้ ก็จะเป็นผลดีกับผู้กระทำนั่นเอง และก็เป็นอานิสงค์โดยอ้อมให้กับผู้เขียนด้วย และยังเป็นอานิสงค์ในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในประเทศและในโลกนี้ด้วยครับ เห็นไหมครับว่าธรรมะไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะหากทุกคนเจริญธรรมขาวแล้ว เชื่อว่าจะไม่มีเหตุการณ์ชุมนุมขับไล่อย่างทุกวันนี้ หรือไม่มีความขัดแย้งที่เกิดความรุนแรง แม้ว่าจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างไปบ้าง แต่ทุกฝ่ายก็จะสามารถยอมรับในเหตุและในผลของการอยู่ร่วมกันโดยสันติสุขได้หากมีธรรมะในจิตใจและกระทำได้อย่างจริงจัง ขอเปลี่ยนเรื่องเหมือนกับรถที่กำลังวิ่งๆอยู่แล้วเบรกเลี้ยวรถไปทางอื่นอย่างกะทันหัน แบบที่คนขับไม่ได้บอกให้คนนั่งรู้ก่อน ทำให้คนนั่งลุ้นตัวโก่งว่าจะพ้นโค้งหรือไม่ครับ กลับมาที่เรื่องราวของโทรศัพท์มือถือซึ่งผมได้อ่านข้อมูลจากทางอินเตอร์เน็ต โดยมีเนื้อหาว่า ทางสำนักงานสถิติแห่งชาติได้เปิดเผยข้อมูลการสำรวจการใช้งานโทรศัพท์มือถือของประชากร มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง ปี 2546-2549 โดยในปี 2546 มีจำนวนผู้ที่มีโทรศัพท์มือถือ 23 คน ต่อประชากร 100 คน เพิ่มขึ้น เป็นจำนวนผู้มีโทรศัพท์มือถือ 42 คนต่อประชากร 100 คน ในปี 2549 เรียกได้ว่า เพิ่มขึ้น มากทีเดียว โดยกลุ่มที่เพิ่มขึ้นมากทีสุดคือกลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุ 15-24 ปี มีสัดส่วนการเพิ่มขึ้นเท่าตัวกล่าวคือจาก ร้อยละ 25.3 ในปี 2546 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 52.1 ในปี 2549 ข้อมูลยังบอกต่อไปอีกว่า กลุ่มวัยรุ่นนอกจากใช้งานด้านการสื่อสารทางเสียง หรือการโทรแล้วบริการการรับส่งข้อความทั้ง SMS/MMS เป็นบริการที่นิยมใช้มากที่สุดในสัดส่วนร้อยละ 50 รองลงมาคือการโหลดเพลงร้อยละ 46.4 และเล่นเกมร้อยละ 14.8 และส่วนใหญ่จะใช้แบบเติมเงินร้อยละ 94.5 ข้อมูลข้างต้นนี้บอกอะไรเราได้บ้าง อย่างแรกเลยหากผมเป็นเจ้าของบริการ ก็จะเข้าจับกลุ่มวัยรุ่นเป็นกลุ่มแรก ใครจับกลุ่มนี้ได้ก่อนก็เป็นผู้รับทรัพย์ไปเต็มๆ อย่างเช่นการรับส่งข้อความในสมัยนี้ ก็มีบริการแปลกๆออกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้โหวตนักร้องขวัญใจ ตามรายการประกวด โหวตนางงามที่ตนเองชอบ โหวตข่าวสำคัญต่างๆ รวมทั้งออกความคิดเห็น แล้วเอารางวัลมาล่อใจไม่ว่าจะเป็นของเล็กๆน้อยๆอย่างตั๋วภาพยนตร์ หรือของใหญ่ๆอย่างทีวีสีก็มี ซึ่งหลังๆมาทางราชการเข้มงวดมากขึ้นก็เพลาๆลงไปบ้าง นอกจากนี้วันดีคืนดีก็มีข้อความมายังมือถือเราให้ถ่ายรูปคู่กับเพื่อนบ้าง สัตว์เลี้ยงบ้าง หรือรถคันโปรดบ้าง หรือแม้แต่มือถือเครื่องโปรดแล้งส่งไปยังเบอร์ที่กำหนดเพื่อลุ้นรับโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ หรือเครื่องเล่น MP3 ยอดนิยม ก็มีให้เห็นกันอยู่เนืองๆ บริการเหล่านี้ ผมมองว่าเป็นกลยุทธในการเรียกความสนใจและรับเงินเนื้อๆ เพราะค่าบริการแม้จะดูต่อครั้งไม่มาก แต่คนไทยชอบการเสี่ยงโชค ก็อยากลองแค่ไม่ถึง 10 บาท แต่เมื่อจำนวนคนส่งเข้าไปมากๆ เรือนพันเรือนหมื่น ก็ได้เงินมากโขอยู่และการแจกรางวัลก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ากระทำอย่างโปร่งใสมากน้อยอย่างไร ผมก็มองว่าเป็นการพนันอย่างหนึ่ง ที่ทางกฎหมายเองอาจยังไม่ชัดเจนหรือเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้กวดขันอย่างจริงจัง อีกบริการหนึ่งที่ผมมองว่าล่อแหลม ก็คือบริการจำพวก 1900 ที่โทรไปนาทีละ 6-12 บาท เพื่อคุยกับเพื่อนๆ โดยมักจะมีภาพล่อตาล่อใจในทีวีหรือหนังสือต่างๆ เช่นมีรูปสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มทำท่าเย้ายวน และมีข้อความว่า โทรมาซิคะ พวกเรารออยู่ เราจะเป็นเพื่อนคุณตลอด 24 ชม. อะไรประมาณนี้ และยังมีสำหรับสาวๆที่อยากหาเพื่อนหนุ่มๆ โทรไปอีกเบอร์หนึ่ง พวกนี้ ผมก็มองว่ามีความเสี่ยงในการที่วัยรุ่นอาจถูกชักจูงให้เสียเงินแล้วยังมีโอกาสที่จะเสียตัวได้ด้วย เพราะคุยไปคุยมา เรื่องที่วัยรุ่นยากคุยมากที่สุด อยากรู้อยากเห็นมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็หนีไม่พ้นเรื่องใต้สะดือหรือเหนือสะดือนั่นเองครับ กลายไปกลายมากลายเป็นเซ็กซ์โฟนไปก็อาจเป็นไปได้เหมือนกัน อย่างนี้ทางการก็น่าจะเข้ามาเข้มงวดให้มีความโปร่งใสมากขึ้นในการบริการครับ หากเป็นการคุยเพื่อหาเพื่อนก็ไม่แปลก แต่การคุยกับคนแปลกหน้านั้น ก็ต้องระวังในการให้ข้อมูลส่วนตัวเป็นอย่างยิ่งทีเดียวไม่เช่นนั้น อาจมีสิ่งไม่ดีตามมาทีหลังได้ครับ บริการต่อมาที่นิยมส่งมาให้ก็คือ แนะนำลิงค์โหลดเพลงใหม่ ภาพสวยๆ ภาพเสียวๆ ส่งมาทาง SMS พอเราเปิดข้อความดู ก็เป็นโฆษณาให้ลองกดเลือกดู ซึ่งหลายครั้งกลายเป็นเชื่อมต่อบริการไปทาง WAP ของผู้ให้บริการ ซึ่งมักจะเป็นการสมัครใช้งานโดยที่เราไม่รู้ตัว บางทีแค่เราดูทีเดียว แล้วก็ปิดไปเพราะไม่ได้สนใจอะไร กลับกลายเป็นว่า มีค่าบริการรายสัปดาห์โผล่ขึ้นมา สัปดาห์ละ 60-100 บาท ตัดเงินเราไปโดยไม่รู้ตัว ทราบอีกที เงินหมดโทรไม่ออก โทรไปโวยก็หลายเป็นว่าเราไม่ดูให้รอบคอบเอง การยกเลิกบริการก็ยุ่งยากเพราะต้องพิมพ์ข้อความยกเลิก และต้องส่งไปที่เบอร์นั้นเบอร์นี้ก่อน และต้องรอให้ทางระบบตรวจสอบและส่ง ข้อความกลับมายืนยันว่าเรายกเลิกแล้ว ถึงจะนับว่ายกเลิกสมบูรณ์ หากระบบขัดข้อง ก็ต้องเสียค่าบริการไปก่อน อย่างนี้ก็มีครับ ต้องระวังให้มากทีเดียว หลังๆมานี่หากมีข้อความแปลกมา ผมลบทิ้งก่อนเลยครับ และก็ขยันส่งมาเสียด้วย บางทีประชุมๆอยู่มีข้อความมาไอ้เราก็นึกว่าใครมีเรื่องเร่งด่วนโทรมาแล้วเราไม่รับเลยส่งข้อความ เปิดดูที่ไหนได้โหลดเสียงรอสายเพลงใหม่ ลุ้นรับ มือถือรุ่นใหม่ ก็มีบ่อยๆครับ เปิดดูหน้าหนังสือมือถือ หรือหนังสือวัยรุ่นทั้งหลาย ก็มีโฆษณาดาวน์โหลดพวกนี้อยู่มากมาย ซึ่งก็เป็นส่วนของผู้ให้บริการเนื้อหา หรือเรียกในศัพท์ทางวงการว่า ผู้ให้บริการ Content บางทีเปิดหน้าหนังสือไปดูทีแรก ผมนึกว่าโฆษณาขายภาพโป๊เสียอีก เพราะภาพแต่ละภาพที่ลงโฆษณา มีทั้งแบบนุ่งน้อยห่มน้อย แบบนุ่งน้อยไม่ห่ม แบบห่มแต่ไม่นุ่ง หรือทั้งไม่นุ่งไม่ห่ม ปิดบังจุดสำคัญ อย่างกับหนังสือปลุกใจเสือป่าสมัยก่อนเลยทีเดียว แล้วก็มีเลขกำกับไว้ พร้อมตัวหนังสือเชิญชวนต่างๆนานา ภาพสวย ภาพเสียว รอคุณ อีกบริการหนึ่ง ซึ่งผมเห็นว่าขาดความจำเป็นต่อตัวเราอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นบริการที่ทำรายได้ให้กับผู้ให้บริการไม่น้อยหน้าบริการอื่นๆ คือบริการเสียงรอรับสาย เราเองก็ไม่ได้ฟังเสียหน่อย คนได้ฟังก็คือคนที่โทรเข้ามานั่นเอง แถมเรายังต้องพยายามอัพเดทเพลงบ่อยๆเพื่อให้อินเทรนท์ ไม่ตกยุค คนโทรมาจะได้ทักว่าเราเป็นคนทันสมัย เพลงเพิ่งออก ก็มีอยู่ในสายแล้ว แถมยังต้องโทรมาหลายๆครั้งเพลงต้องเปลี่ยนไปไม่ซ้ำกันอีก เพื่อให้เพื่อนๆได้ฟังเพลินๆ จนหลายครั้งเพื่อนต่อว่าเราว่า รีบรับสายทำไม กลายเป็นว่าอยากฟังเพลงรอสายมากกว่าอยากคุยกับเราอีกแนะ ในส่วนนี้ ค่าบริการแต่ละเดือนก็ไม่น้อยนะครับ ไหนจะมีค่าบริการที่ต้องจ่ายแน่นอนรายเดือน ไหนจะค่าโหลดเพลงใหม่ๆใส่ลงในระบบ ผมมองว่า โหลดมาใส่ในเครื่องเราเพื่อฟังเป็นริงโทน ยังพอเข้าใจได้ แต่โหลดมาให้เพื่อนฟังนี่ เสียสตางค์ไปโดยใช่เหตุครับ เอาละเขียนไปมากๆเดี๋ยวผู้ให้บริการค่ายต่างๆจะมาเฉ่งผมเอา เอาเป็นว่าเป้นความคิดส่วนตัวที่นำมาเล่าสู่กันฟังก็แล้วกัน ใครอยากนำไปคิดต่อหรือไม่สนใจก็สุดแล้วแต่วิบากที่กระทำกันมาก่อนครับ แต่ผมคนหนึ่งละที่ไม่อินเทรนท์ สงสัยตัวเองจะแก่แล้ว ไม่ค่อยจะทันยุคทันสมัยเขาเท่าไร ขอบคุณที่กรุณาทนอ่านจนถึงบรรทัดนี้ครับ สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดขอให้ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ในการใช้บริการเสริมอย่างเป็นประโยชน์สูงสุดครับ หากอยากคุยกัน ก็อีเมล์มาคุยกันได้นะครับที่ [email protected] อ้างสักนิดว่าจากคอลัมน์ M Talk ขอลาไปก่อน ขอบุญรักษาคุณผู้อ่านครับ/ mchaw |