มือถือรู้จักใช้ รู้จักรักษา

โดย mchaw | 29 มิถุนายน 2550 เมื่อ 18:31 น. | อ่าน 178
จากคอลัมน์ M talk by mchaw นิตยสาร Mobile Mag เดือน พค.07

เดือนเมษายนล่วงผ่านไป ย่างเข้าสู่เดือนที่5ของปี เดือนพฤษภาคม ซึ่งก็ยังอยู่ในช่วงฤดูร้อนที่หลายๆคนก็ไม่ค่อยชอบใจเท่าไร แถมบางวันก็ยังมีโอกาสได้เฉอะแฉะกับฝนหลงฤดูที่ทยอยกันเทลงมาทักทายกันให้ชุ่มฉ่ำอย่างไม่ตั้งใจ และเดือนนี้ยังเป็นเดือนที่ผู้ปกครองทั้งหลายต้องควักสตางค์ออกจากกระเป๋าเป็นว่าเล่น เพราะเจ้าตัวน้อยและตัวใหญ่ทั้งหลายเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูกาลเปิดเทอมตามๆกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าประเป๋านักเรียน ค่าเทอม ค่าหนังสือ ฯลฯ อีกจิปาถะ ซึ่งในยามนี้ต้องยอมรับว่ารายได้มักจะแพ้รายจ่าย หันหน้าไปทางไหนก็เห็นแต่คนหน้าเหี่ยวหน้าแห้ง  หลายท่านก็ต้องหันไปหาที่พึ่งยามยากอย่างโรงรับจำนำ ซึ่งช่วงนี้มักจะเตรียมเงินไว้เพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงปกติ เพื่อรองรับลูกค้าที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างกะทันหัน


                จะว่าไปค่าใช้จ่ายที่เรามองข้ามกันไปก็คือค่าใช้บริการโทรศัพท์มือถือนี่เอง  ต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้ โทรศัพท์มือถือกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันของคนเมืองไปเสียแล้ว หากขาดไปก็เหมือนขาดอะไรสักอย่างในชีวิต ไม่เชื่อลองวางโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน แล้วออกไปทำงานสักวันเดียว เชื่อเถอะว่า เดี๋ยวต้องมีคนบ่นว่าติดต่อเราไม่ได้ ทั้งๆที่เราก็อยู่ที่ทำงานแท้ๆ โทรมาหาที่ทำงานก็ได้ กลับจากที่ทำงานก็อยู่บ้าน โทรมาที่โทรศัพท์บ้านก็ได้ แต่ด้วยความที่โทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่คนเราจะพกติดตัว เลยส่งผลให้เอะอะอะไรก็โทรเข้ามือถือก่อน  หากเราให้เบอร์โทรกับเพื่อนๆ ทั้งเบอร์บ้านและมือถือ ลองดูซิครับ ส่วนใหญ่เวลาเพื่อนจะโทรหาเราต้องโทรมาที่มือถือก่อน หากติดต่อไม่ได้แล้วจึงค่อยโทรเข้ามือถือ  และด้วยความจำเป็นในชีวิตนี้เอง ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายที่บางครั้งเราต้องเสียไปโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้คุ้ม คือคิดอะไรก็โทรทันที บางครั้งวางสายเสร็จ ลืมบอกไปอีกเรื่องก็ต้องโทรกลับไปใหม่  หรือบางท่านใช้โปรโมชั่นเก่าแก่แต่เดิม เดี๋ยวนี้เขามีโปรโมชั่นใหม่ๆประหยัดค่าโทรได้ แต่ด้วยความที่ขี้เกียจไปดูว่าเป็นอย่างไร รู้สึกยุ่งยาก ก็เลยตามเลย ปล่อยให้ทางระบบเก็บสตางค์เราไปเรื่อยๆยกตัวอย่างเช่น การที่เสียรายเดือนแบบเหมาจ่าย แต่โทรไม่ครบ เดือนละ 399 โทรนาทีแรก 3 บาท นาทีต่อไป 25 สตางค์ เราก็จ่ายไปทุกเดือนๆ โทรออกก็น้อยนิดเดียวไม่ครบ 399 บาทด้วยซ้ำ  เราก็อาจสามารถหาโปรโมชั่นใหม่ที่เหมาจ่ายถูกลง แต่อาจเสียค่าโทรมากขึ้นเช่น เหมาจ่าย 99 บาท โทรเท่าไรเก็บเท่านั้นนาทีละ 1-2 บาท อย่างนี้ก็น่าจะเหมาะสำหรับคนโทรน้อยๆ ถึงสิ้นเดือน ค่าโทรน่าจะน้อยกว่า 399 ที่โดนเหมาจ่ายไปด้วย และยิ่งเป็นแบบเติมเงิน โปรโมชั่นหลากหลายท่าน่าสนใจก็มีไม่น้อย ลองดูนะครับเผื่อเราจะสามารถประหยัดลงไปได้ เดือนละ 1-2 ร้อยบาทก็ยังดี  วิธีการก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ก่อนอื่นเราลองจดบันทึกว่าแต่ละเดือนเราใช้โทรออกไปในราวกี่นาที  และแต่ละครั้งของการโทรเราโทรนานแค่ไหน ลองจดไว้สักเดือนเดียว จากนั้น เมื่อได้ข้อมูลแล้ว ลองเปิดเวปไซต์ของผู้ให้บริการของเรา ว่าในขณะนั้นมีโปรโมชั่นอะไรให้เลือกบ้าง แล้วลองคำนวณจากข้อมูลดิบที่เราจดไว้ ว่าหากใช้แต่ละโปรโมชั่นที่มีแล้ว เราจะเสียค่าบริการเท่าไร เราจะได้พบทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้งานของเรา และไม่ต้องห่วงว่า  บางโปรโมชั่นให้ช่วง 6 เดือนแรกถูกแต่ต่อไปแพง เพราะพอหมด 6 เดือน ก็จะมีโปรแกรมใหม่ๆมาให้เลือกอีก เราก็ค่อยพิจารณาเลือกใหม่ได้ ครับ


                ได้เคยอ่านข่าวต่างประเทศ ในประเทศกรีซห้ามนักเรียนระดับประถม และมัธยมนำโทรศัพท์มือถือเข้ามาใช้ในโรงเรียน ก็เนื่องมากจากคลิปวีดีโอที่ถ่ายจากโทรศัพท์มือถือ ถูกเผยแพร่ออกมาอย่างดาษดื่น ไม่ว่าจะเป็นคลิปประเภทแอบถ่าย ซึ่งยังความอับอายและเสื่อมเสีย ทั้งยังเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล , คลิปประเภทติดเรท มีภาพเกี่ยวกับการยั่วยวนทางเพศ หรือแม้กระทั่งภาพการแสดงฉากรักซึ่งนักเรียนได้ถ่ายและส่งๆกันต่อ หรือคลิปความรุนแรงในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการตีกัน ชกต่อยกัน จะว่าไป คลิปประเภทนี้ในประเทศเราเองก็ไม่ได้น้อยหน้า มีครบครัน ทั้งประเภทแอบถ่ายใต้กระโปรง แอบถ่ายในห้องน้ำ คลิปประเภทแสดงการร่วมรัก หรือให้เห็นอวัยวะส่วนที่ควรปกปิด หรือแม้กระทั่งภาพวีดีโอการตบตีกันของนักเรียนหญิง ก็มีให้เห็นกันอยู่เนืองๆ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากความสามารถของโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆที่ทำได้หลายอย่างและถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดนั่นเอง ส่วนตัวผู้เขียนเห็นว่า การห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียนนั้นน่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้น เพราะเอาเข้าจริง นักเรียนก็แอบใส่กระเป๋ามาใช้ได้อยู่ดี แต่ต้องปลูกฝังให้พ่อแม่และเด็กๆเยาวชนของเราให้ใช้สิ่งต่างๆในทางที่เกิดประโยชน์ รวมทั้งหากเด็กๆจำเป็นต้องมีโทรศัพท์มือถือก็เอารุ่นที่พอจะโทรเข้าออกได้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีให้เลือกมากมายไม่ต้องมีกล้องก็ใช้งานได้อย่างดีแล้ว เท่านี้ ก็น่าจะพอลดปัญหาต่างๆได้อยู่บ้าง


                คำๆหนึ่งซึ่งน่าจะเหมาะสำหรับการนำมาใช้ในช่วงเวลานี้คือ “สันโดษ” หลายๆท่านอาจแปลความหมายของคำว่าสันดา หมายความในทางปลีกวิเวก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ข้าอยู่ของข้าคนเดียวใครอย่ามายุ่ง อันนี้ผิดครับ ความหมายของสันโดษในทางพุทธศาสนาของเราคือ ความพอใจ ในสิ่งที่เรามีอยู่ คือมีอะไรก็พอใจ หรืออาจขออัญเชิญพระราชดำรัส ของในหลวง ในคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” ก็สามารถนำมาให้ความหมายในเชิงเดียวกันได้เช่นกัน  อย่างเช่น หากเด็กๆมีโทรศัพท์มือถืออยู่แล้ว แต่ไม่ใช่รุ่นใหม่ ถ่ายวีดีโอ ถ่ายรูปไม่ได้ หรือฟังเพลงไม่ไพเราะ แต่หากมีความสันโดษคือพึงพอใจในสิ่งที่มี คิดว่า แค่นี้ก็โทรได้เหมือนกัน ไม่ต้องเสียสตางค์เป็นหมื่นๆเพียงเพื่อไปซื้อคุณสมบัติเพิ่มเติมต่างๆเอาไว้อวด ใช้ก็ไม่ค่อยจะเป็นเท่าไร หรือไม่ค่อยได้ใช้คุ้มเท่าไร อย่างนี้ ก็อาจช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำให้ไม่ต้องย่องไปเข้าโรงรับจำนำบ่อยๆได้นะครับ


                ตัวผู้เขียนเองในสมัยหนุ่มๆ กล่าวอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้เขียนแก่นะครับ แต่ก็ไม่หนุ่มแล้ว เพียงแต่ครั้งหนึ่งเคยหนุ่มมาก่อนและก็มีพฤติกรรมที่ไม่ค่อยเหมาะสมหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งก็คือ ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องระบายอารมณ์ ไม่รู้อันนี้ใครจะเป็นมากน้อยแค่ไหน แต่ในวัยรุ่นบางครั้งอารมณ์ร้อน ทำอะไรไม่คิด มารู้สึกเอาภายหลัง ครั้งหนึ่งเคยทะเลาะกับแฟนด้วยเรื่องการโทรหากันไม่ติด  แล้วไม่เข้าใจกัน ไม่รู้จะโทษอะไรก็โทษโทรศัพท์มือถือ อันที่จริงก็เพื่อประชดแฟนนั่นเอง ก็เลยขว้างโทรศัพท์ลงกับพื้น แต่ยังดีที่คิดทันในแว๊ปสุดท้าย เลยขว้างลงเบาๆที่พื้นยาง อีกอย่างเครื่องโทรศัพท์มือถือสมัยนั้นเครื่องใหญ่และทนมากๆแถมยังมีซองหนังอย่างหนาใส่ครอบไว้อีก คราวนั้นก็เลยรอดจากการเสียสตางค์ไปโดยหวุดหวิด


                 ไหนๆก็เตือนการใช้โทรศัพท์ในทางที่ไม่ควรมาแล้ว ก็ขอฝากอีกสักเรื่อง สมัยนี้ เห็นคนถือโทรศัพท์แนบหูแล้วคุยไปเดินไปจนชินตา หลายครั้งเห็นในขณะที่กำลังเดินข้ามถนนซึ่งไม่มีทางม้าลาย เดินไปบางครั้งก็ไม่ได้มองซ้ายมองขวาให้ดี อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย อันนี้ต้องระวัง หรือหลายครั้งเห็นผู้ขี่จักยานยนต์ โทรศัพท์ไป ด้วยมือข้างหนึ่ง จับแฮนด์มือเดียว แถมยังมีคนซ้อนท้ายและมีของพ่วงมาด้วยอีก  ทางที่ดี อยากแนะนำให้จอดในที่ปลอดภัยแล้วค่อยคุยน่าจะดีกว่านะครับ  ใครที่มีเพื่อน มีญาติ ก็เตือนๆนไว้ด้วยนะครับ ว่าการทำเช่นนี้อาจเกิดอันตรายได้


            สุดท้ายที่อยากฝากเตือนกันไว้เกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือคือ เดี๋ยวนี้ หากมีคนลืมวางโทรศัพท์มือถือไว้ 1 เครื่อง กับ กระเป๋าสตางค์วางไว้ 1 ใบ หากให้คุณผู้อ่านเลือก คุณผู้อ่านจะเลือกอะไร มีเวลาให้คิด 3 วินาทีครับ ติ๊กต๊อก…ติ๊กต๊อก…ติ๊กต๊อก…กริ๊งงงงงงง  หมดเวลาครับ หลายท่านอาจเลือก กระเป๋าสตางค์ แต่เชื่อว่า มีอีกหลายท่านเลือก โทรศัพท์มือถือ แต่ถ้าถามผู้เขียน อืม…. ขอเลือกหยิบทั้งคู่ครับ  แหะๆ แต่หยิบไปหาเจ้าของนะครับ อย่างน้อยเบอร์โทรในเครื่อง หรือเอกสารในกระเป๋าสตางค์ก็น่าจะเป็นสื่อที่หาเจ้าของตัวจริงได้ไม่ยาก  อย่างไรก็ดี ตัวอย่างที่ยกมาก็เพื่อให้เห็นว่า โทรศัพท์มือถือสมัยนี้ซื้อง่าย ขายคล่อง มีมูลค่าในตัวเอง เพราะหากขโมยนำไปขายก็ได้เงินแน่นอน  เป็นเงินในระดับพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นยอดนิยมต่างๆ  ดังนั้น ใครมีก็ต้องระวังกันไว้ให้มาก หลายคนชอบใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงข้างหลัง บางครั้งก็ลืมนั่งทับเครื่องพัง บางทีก็ไปนั่งยองหาของ ก้มๆเงยๆ โทรศัพท์หล่นไปไหนไม่รู้ตัว หรืออาจโดนล้วงไปได้อย่างง่ายๆในที่ชุมชน แม้กระทั่งถือโทรอยู่กับหูในที่มืดยามค่ำคืนก็อาจมีผู้ร้ายมากระชากไปเห็นๆก็ได้ครับ  เวลาไปนั่งที่ไหนก็อย่านำมาวางไว้ที่โต๊ะ นอกจากจะเสี่ยงต่อการลืมแล้ว ยังเสี่ยงต่อการฉกชิงวิ่งราวด้วยครับ  ดังนั้น เมื่อมีโทรศัพท์มือถือแล้ว ขอให้มีสันโดษ พอใจในสิ่งที่เรามี และรู้จักใช้งานให้เหมาะสม และต้องระวังไม่ไห้จากเราไปก่อนเวลาอันควรด้วยครับ ก็ขอฝากกันเอาไว้ครับ


              อยากติ อยากชม ก็อีเมล์มาคุยกันได้นะครับที่ [email protected] อ้างสักนิดว่าจากคอลัมน์ M Talk ใน Mobile MaG   ฉบับนี้ต้องขอลาไปก่อน ขอบุญรักษาคุณผู้อ่านทุกท่านครับ/ mchaw

About Author

mchaw

mchaw

Partners