ชีวิตที่ไร้มือถือ และสื่อต่างๆ

โดย mchaw | 18 มิถุนายน 2550 เมื่อ 18:29 น. | อ่าน 184
จากคอลัมน์ M talk by mchaw นิตยสาร Mobile Mag เดือน เมษายน 07

กลับมาสวัสดีคุณผู้อ่านกันอีกครั้ง ในช่วงย่างเข้าสู่เดือนที่ 4 ของปี ซึ่งโดยปกติแล้วในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี เราก็จะได้รับข้อมูลข่าวสารจากทางกรมอุตุนิยมวิทยา ว่าวันนั้น วันนี้ ของเดือนเมษายน จะเป็นวันที่ร้อนที่สุดแห่งปี ฟังแล้วก็อดจะวิตกกังวลไปไม่ได้ ว่าจะร้อนสักแค่ไหน โดยเฉพาะผู้ที่มีภารกิจกลางแจ้งนอกบ้านด้วยแล้ว ก็จะยิ่งกังวลกันไปใหญ่ ว่ามันจะร้อนเลยเถิดไปกันขนาดไหนไม่รู้ และเราจะทนได้อย่างไร ในความร้อนหรืออุณหภูมิที่สูงขนาดแถว 40 หรือกว่า 40 องศาเซลเซียส  แต่เชื่อไหมครับว่า อะไรๆที่เรามักคาดหมายไม่ว่าด้วยการคาดการณ์ตามหลักวิทยาศาสตร์ หรือหลักนึกคิดเอาเอง หลายๆครั้งก็คลาดเคลื่อนเสมอ อย่างวันนี้บอกอากาศแจ่มใส กลายเป็นมีฝนตก บางวันบอกฝนจะตกหนัก กลายเป็นตกเปาะแปะ หรืออย่างวันที่บอกว่าจะร้อนที่สุดแหงปี ก็เกิดเมฆฝนกลุ่มใหญ่เทเม็ดฝนโปรยปรายลงมาให้เราเย็นชื่นใจในหลายๆครั้งที่ผ่านมาก็มีให้เห็น ดังนั้น อยากจะชี้ให้เห็นว่า ธรรมชาตินั้น มีความเปลี่ยนแปลงโดยที่มนุษย์อย่างเราๆไม่สามารถที่จะไปชี้นำอะไรได้มากนัก จึงอยากจะบอกกับทุกท่านว่า อย่าได้วิตกกังวลไปเกินเหตุ ขนาดที่ว่าบางคนจะขอลาพักร้อนในช่วงนั้น อันที่จึงลาไปก็ไม่ได้เย็นขึ้นมาสักเท่าใด  หากแต่ที่ทำงานมีแอร์หรือพัดลม ก็น่าจะสามารถคลายความร้อนได้อยู่ดี อยู่บ้านเฉยๆ บางที เกิดที่บ้านไฟดับ ก็ร้อนอยู่ดี เห็นไหมครับ หรือบางท่านร้อนมากๆ ก็หาโอกาสไปรับแอร์ตามห้างสรรพสินค้าบ้างก็น่าจะคลายความร้อนได้


                อีกทศกาลหนึ่งของเดือนเมษายน ก็คงไม่พ้นงานใหญ่อย่างสงกรานต์ ที่ทุกปีสถานที่หลายแห่งหลายจังหวัดมักจะดำรงประเพณีอันเก่าแก่ของเราไว้ ตามหัวเมืองต่างๆจะจัดงานสงกรานต์ มีการประกวดเทพีสงกรานต์ ออกร้าน จัดงานแสงสีเสียง ซึ่งก็เป็นงานที่ไม่ได้น้อยหน้างานปีใหม่เลยทีเดียว แต่ด้วยเหตุการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่หลายคนก็คงอดวิตกไม่ได้ว่ากลัวจะเกิดความรุนแรง แต่กระนั้น หลายคนก็ได้วางแผนในการท่องเที่ยวไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยสถานที่ยอดนิยมก็คงหนีไม่พ้น ทะเล ซึ่งประเทศเราก็มีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลหลายแห่งด้วยกัน บ้างก็หนีร้อนจากไทย ไปเที่ยวต่างประเทศที่มีอากาศเย็นกว่าเรา ก็นับว่าเป็นทางเลือกอีกทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีกำลังทรัพย์พอที่จะเดินทาง อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวก็ถือเป็นการพักผ่อนที่ดีในการเติมพลังในการทำงานที่อาจจะร่อยหรอลง หลังจากทำงานเหน็ดเหนื่อยมาหลายเดือน อย่างไรก็ดี ขอให้ละเว้นการเดินทางท่องเที่ยวประเภทเที่ยวก่อนจ่ายทีหลัง เช่นผ่อนกับบัตรเครดิต ค่ายโน้น ค่ายนี้ ได้ 0% เป็นเวลา 6-12 เดือน อย่างนี้เห็นทีจะไม่ไหวแน่ เพราะแค่ค่าทัวร์ก็ผ่อนแล้ว ไหนจะมีค่าช็อปปิ้งในระหว่างการเดินทางอีก กลับมาทำงานใช้หนี้กันหัวโตพอดี กลายเป็น เที่ยวสนุก แต่กลับมาทุกข์ถนัดในภายหลังอีก


            คุณผู้อ่านทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกแล้ว ว่าเจ้านักเขียนคนนี้ ตั้งชื่อเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อเรื่องเอาเสียเลย เอาละครับ ความคิดของผู้เขียนเองก็แล่นไปตามกระแสสังคมและกระแสสิ่งแวดล้อมดังเช่นปุถุชนทั่วไป ซึ่งหลายๆครั้งกว่าจะคิดเรื่องที่เป็นเรื่องได้ ก็คิดวนรอบไปรอบมาอยู่หลายรอบจึงเข้าเรื่องได้ ขอให้ทุกท่านเห็นเป็นเรื่องปกติเช่นนี้เองในเราทุกๆคนครับ เรื่องที่ตั้งใจเขียนคือ ชีวิตที่ไร้มือถือ อันที่จริง สมัยก่อนนั้น ชีวิตของคนเราก็ไม่ได้มีโทรศัพท์มือถือมาก่อน อย่างดี ก็มีแค่โทรศัพท์บ้าน จะไปไหนมาไหน ติดต่อธุรกิจ ก็ต้องอาศัยให้เบอร์โทรศัพท์บ้าน หรือที่ทำงาน เมื่อไรโทรศัพท์ดังก็ต้องรีบรับ เพราะไม่รู้ว่าใครโทรมาเรื่องอะไร หากนัดใครไว้ที่ไหน ก็ต้องรอตามเวลาที่นัด แม้บางครั้งคู่นัดจะมาช้าไปเป็นชั่วโมงก็ต้องรออยู่อย่างนั้น อย่างมาก็แค่โทรไปถามที่สำนักงานหรือบ้าน ว่าเขาผู้นัดออกมาหรือยังแล้วก็ทนรอต่อไป แต่เดี๋ยวนี้ความรวดเร็วของการสื่อสารด้วยโทรศัพท์มือถือทำให้เราเป็นคนใจร้อนไปโดยไม่รู้ตัว รอ5 นาทีไม่มาก็ต้องโทรหา โทรตามกันแล้ว ไปเดินห้างแยกไปเข้าห้องน้ำก็รอกันไม่ได้ ออกมาก็ต้องโทรหากันว่าอยู่ตรงไหนแล้ว กลายเป็นว่า ประโยชน์ของการที่มีการสื่อสารที่รวดเร็วเพื่อจะได้มีเวลาในการทำอะไรมากขึ้น กับกายเป็นทำให้เราทุกคนใจร้อนขึ้น อยากทำอะไรๆให้ได้มากขึ้นอีก ซึ่งก็ทำให้คนเรามีทุกข์มากขึ้นนั่นเอง


                เดือนกุมภาพันธ์ทั้งเดือน ผู้เขียนมีโอกาสได้ละจากสภาพแวดล้อมที่เคยอยู่ไปสู่การครองสมณเพศซึ่งเปลี่ยนไปทุกอย่างตั้งแต่การกิน การนอน การทำงานในแต่ละวัน กิจวัตรประจำวันทุกอย่างได้เปลี่ยนไปสู่เพศแห่ง บรรพชิตโดยสมบูรณ์  ที่ในทางชาวพุทธเรียกว่า พระภิกษุนั่นเอง  1 เดือนที่ครองผ้าเหลือง ร่วมกับเพื่อนๆที่บวชด้วยกันอีก 76 รูป หรือที่เรียกว่า อุปสมบทหมู่ ที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ ปากเกร็ด ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า พุทธศาสนาที่แท้นั้นไม่ได้มีเพียง พิธีการสวดมนต์ ภาวนา ตามงานวัด งานทำบุญบ้าน งานศพ หรือเพียงให้ได้ไหว้พระประทานองค์ใหญ่ๆ ได้เหรียญ หรือพระเครื่องมาห้อยคอที่เขาว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่แก่นของพุทธศาสนาที่แท้ได้แก่ลดละความยึดที่แห่งความเป็นตัวเรา ของเรา ดังเช่นที่หลวงพ่อ พุทธทาส ท่านกล่าวไว้


                อย่างหนึ่งที่  เห็นได้ชัดว่าต่างจากเพศฆราวาสที่เคยชินก็คือ ไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือ เนื่องจากพระนวกะที่นี่จะมีกฎระเบียบเคร่งครัดในการ ละโทรศัพท์มือถือ, ละโทรทัศน์, ละวิทยุ และละหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นส่วนที่เราจะติดต่อหรือรู้ข่าวสารจากแหล่งภายนอก แต่เมื่อการละเช่นนี้ปรากฏขึ้นในการดำรงชีวิต กลับรู้สึกเบา สบาย กับการที่ไม่ต้องรับรู้ข่าวสาร ซึ่งมีทั้งเชิงบวก และเชิงลบ เช่น ข่าวเรื่องการเมืองแบบที่เราพอใจ ไม่พอใจ  ข่าวคนในครอบครัวแบบที่เราพอใจ ไม่พอใจ หรือข่าวสารบ้านเมืองอื่นๆที่ฆ่ากันนับไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อเราไม่ได้เสพข่าวเหล่านี้เลย ก็เห็นได้ชัดว่า ใจเรา ความคิดเรา ไม่หมกมุ่นอยู่กับความพอใจ ไม่พอใจ หรือยินดี ยินร้าย กับข่าวที่ได้รู้มานั้น ทำให้ใจสงบกว่าที่เคยเป็นมาทั้งชีวิต ทั้งยังมีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมคำสอนต่างๆในทางศาสนา จากพระอาจารย์หลายท่านที่ได้เสียสละเวลามาให้การอบรม รวมทั้งได้รับการฝึกปฏิบัติในด้านการนั่งกรรมฐาน ในรูปแบบของวิปัสสนา ซึ่งก็ทำให้เราได้รู้เท่าทันความคิดหรือจิตที่มักจะดิ้นเร่าอยู่ตลอดเวลา


                อย่าเพิ่งคิดว่าผู้เขียนซึ้งในรสพระธรรมถึงขนาดที่จะบวชไม่สึก หรือเป็นบุคคลที่วันๆเอาแต่นั่งศึกษาธรรมะจนเลิกนิสัยฆราวาสไปรักษาพรหมจรรย์ชั่วชีวิตอะไรทำนองนั้นนะครับ  เพียงแค่ช่วง 1 เดือนเท่านั้นที่ได้ไปศึกษาในวัดอย่างจริงจัง พอมีประสบการณ์ก็อยากจะมาเล่าสู่กันฟังว่าได้อะไรมาบ้าง เพราะหนึ่งคำถามที่มักจะโดนถามบ่อยๆก็คือ “บวชแล้วได้อะไรบ้าง” เป็นคำถามที่ถามง่ายแต่ตอบยาก หากเป็นเพื่อนกันก็อยากจะบอกว่า “ต้องไปบวชเองแล้วจะรู้”  เพราะใครบวชก็จะรู้แก่ตัวเอง  แต่หากต้องตอบก็คือ การบวชระยะสั้นอย่างหนึ่งที่ได้ก็คือวิธีในการดำรงตนในเพศฆราวาสอย่างไรไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่น ให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเป็นทุกข์น้อย(ไม่ใช้ว่าเป็นสุขนะครับ เพราะสุขในทางพุทธศาสนาก็คือเวทนา ซึ่งก็เป็นทุกข์อย่างหนึ่ง ) รักษาใจตนเองไม่ให้ใจฟู ใจแฟบ เกินไปในแต่ละวัน เพราะจะได้ครองสติให้มั่น ซึ่งช่วยให้การทำงานหรือทำกิจวัตรประจำวันมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานที่ทำ หรือการปฏิบัติตนกับคนในครอบครัวก็ตาม อีกข้อคือการที่ไม่มีอะไรเป็นทรัพย์ส่วนตัวนอกจาก ไตรจีวร, บาตร เท่านั้น จะได้รู้ตัวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยืมของวัดมาใช้ หรือขอคนอื่นมาทั้งนั้น   กล่าวคือปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ก็แทบจะไม่มีอะไรเป็นของเราข้าวก็บิณฑบาตรชาวบ้าน  กุฏิก็ของทางวัดให้ยืม เครื่องนุ่งห่มก็แค่จีวรซึ่งญาติเราถวายในวันบวช  และยารักษาโรคก็มีโยมมาถวายเป็นครั้งคราว


                สมัยก่อน หากผมออกจากบ้าน แล้วลืมกระเป๋าสตางค์ ก็อาจโทรไปขอยืมเงินเพื่อนหรือไปยืมเงินจากคนรู้จักก็พอได้ แต่หากลืมโทรศัพท์มือถือแล้วละก็ต้องตะเกียกตะกายกลับมาหาให้เจอและนำติดตัวไปทุกหนทุกแห่งด้วยความกระวนกระวายใจว่า หากใครโทรมาจะติดต่อเราไม่ได้ หรือแม้ว่ามี Miss call มาก็ต้องรีบโทรกลับแม้ว่าจะไม่ใช่หมายเลขที่เราคุ้นเคยก็ตามเพราะเกรงว่า คนที่โทรมาอาจมีธุระสำคัญ แต่เมื่ออยู่ที่วัด ไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือก็ไม่ได้มีความเดือดเนื้อร้อนใจว่าใครจะโทรมามากน้อยเพียงใด ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะได้แจ้งผู้ที่อาจจะติดต่อเราไว้ล่วงหน้า และ ได้ทำการโอนสายการโทรไปยังเบอร์ของคนที่เราไว้ใจในการรับข้อความไว้แล้ว ซึ่งเป็นอีกประโยชน์หนึ่งของบริการโทรศัพท์มือถือที่โอนสายได้สะดวกครับ


                หากใครอยากรู้ว่าการไม่มีโทรศัพท์มือถือติดตัว จะช่วยให้ใจสงบได้อย่างไร ลองหาโอกาสพักผ่อนสัก 2-3 วันไปเที่ยวสถานที่ที่เราชอบ เช่นไปทะเล แล้วไม่ต้องนำโทรศัพท์มือถือไปด้วย แล้วจะรู้ว่าความสงบมีจริงเพราะไม่มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ที่ทำให้เราต้องรีบรับสาย หรือรีบตัดสายสำหรับบางสายที่ไม่อยากรับ ใช้โอกาสนั้นในการอ่านหนังสือที่เราอยากอ่านแต่ไม่มีโอกาสอ่านมานานแล้ว หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมขออนุญาตมาแนะนำให้ทุกท่านหากมีโอกาสอ่านได้ลองอ่านกันสักครั้งก็คือ “เสียดาย คนตาย ไม่ได้อ่าน” ของคุณ ดังตฤน ซึ่งสามารถตอบคำถามพื้นๆที่หลายคนสงสัยว่า ชาติก่อน หรือชาติหน้ามีจริงหรือไม่, เหตุใดคนเราจึงเกิดมาไม่เหมือนกัน สวย หล่อ หรือขี้เหร่, รวย หรือจน , ผู้หญิง หรือ ผู้ชาย , มีความเก่งกาจต่างกัน และอานิสงค์ในการทำบุญ รักษาศีลแบบต่างๆช่วยให้เราเป็นอย่างที่เราอยากเป็นได้ บางสิ่งเห็นได้ในชาตินี้โดยไม่ต้องรอรับบุญในชาติหน้า รับรองว่าหลายท่านจะได้เห็นวิถีหรือแนวทางการปฏิบัติตนในแบบที่ทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมมีความทุกข์น้อยแน่นอนและที่สำคัญ เป็นหนังสือที่อ่านง่าย อานได้ทุกเพศทุกวัย แม้คนที่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาก็สามารถอ่านได้ เข้าใจง่ายครับ


                หลายท่านคงไม่ได้อ่านมาถึงตรงนี้ แค่อ่านย่อหน้าแรก ก็เปิดไปดูส่วนอื่นของเล่มดีกว่า เพราะจิตใจพื้นฐานของคนเรามักจะชอบแต่เรื่องสนุกสนาน หรือสนใจแต่สิ่งที่ชอบเท่านั้น ยิ่งพูดเกี่ยวกับธรรมะแล้วละก็ขอหลับก่อน หรือขอเปิดผ่านไปข้างหน้า ทั้งนี้ก็เป็นผลของวิบากกรรมที่เราได้ทำมาในชาติก่อนๆเช่นกัน พอเมื่อได้พบผู้ที่จะให้ปัญญา หากใครมีกุศลกรรมมากพอ ก็อ่านจะสนใจและค้นคว้าต่อไป หากมีอกุศลกรรมมาก ก็จะดลใจให้เปิดเลยไปหรือไม่สนใจในหัวข้อธรรมที่มีผู้มาแนะนำนั้นๆ เห็นไหมครับว่า เท่านี้คนเราก็แตกต่างกันแล้ว


                เอาละครับ หลายท่านคงจะคิดว่าคอลัมน์นี้ ผู้เขียนออกจะสติแปลกๆไปจากที่เคยๆ ต้องยอมรับว่า เป็นเช่นนั้นจริงๆครับ  หลังจากได้เข้าถึงธรรมะอย่างที่ไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อนในชีวิตนี้ เพียง 1 เดือนจาก 1 ชีวิต ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกัน มีโอกาสได้เรียนรู้แนวทางของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้วางไว้ แม้เพียงเดินเฉียดๆแนวก็ยังได้รู้สึกถึงความทุกข์ที่มีอยู่ในตัวตนตลอดเวลา อย่างน้อยก็นำมาเป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้


                ต้องขออภัยคุณผู้อ่านที่หวังว่าจะได้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยี ทันสมัยโดยเฉพาะจากคอลัมน์นี้ ซึ่งสมัยก่อนๆก็จะได้ข้อคิด ความเห็น เกี่ยวกับสารพันเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ แต่ต่อจากนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อไปบ้าง  ก็ไม่รู้ว่า หากเขียนแบบนี้ไปบ่อยๆ คอลัมน์นี้อาจจะโดนคุณผู้อ่านแบนเสียก็ได้ เอาเป็นว่าหากชอบใจ ไม่ชอบใจ  อยากติ อยากชม ก็อีเมล์มาคุยกันได้นะครับที่ [email protected] อ้างสักนิดว่าจากคอลัมน์ M Talk ใน Mobile MaG   ฉบับนี้ต้องขอลาไปก่อน ขอบุญรักษาคุณผู้อ่านทุกท่านครับ/ mchaw

About Author

mchaw

mchaw

Partners