ไลฟ์สไตล์การใช้งาน iPhone ในปัจจุบัน ทั้ง โทร, ไถโซเชียล, ถ่ายรูป หรือเปิดแผนที่ ก็ดูจะเลี่ยงไม่ได้กับปัญหาที่ว่ามือถืออาจจะอยู่ให้ใช้งานได้ไม่พ้นวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกรุ่นพื้นฐาน หรือรุ่น Mini ที่ที่มีความจุ แบตเตอรี่ น้อยที่สุดในซีรีส์อยู่แล้ว รวมถึงบรรดา iPhone รุ่นเก่าที่มีเรื่องของการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ตามอายุการใช้งาน
แล้วเราจะทำให้อย่างไรให้มือถือคู่ใจสามารถใช้งานได้ยาวนานที่สุดละ วันนี้ MXPhone ก็มี 10 แนวทางการตั้งค่า เพื่อปิดฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็นหรือไม่ค่อยได้ใช้งาน เพื่อช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ให้กับ iPhone หรือใครที่ใช้มือถือ Android จะลองเอาไปทำตามดูก็ได้นะ
1. ปิด Always-on display
ฟีเจอร์ “Always-on Display” ที่เปิดตัวมาพร้อมกับ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่กินแบตเตอรี่ค่อนข้างมากใน iPhone Pro series ที่ต่อให้ Apple เคลมว่าฟีเจอร์นี้ใช้แบตเพียง 1% ต่อชั่วโมง แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราจะปิดสิ่งที่ไม่ค่อยใช้งานเพื่อลดการสิ้นเปลืองพลังงานในส่วนนี้

วิธีการ: ไปที่ การตั้งค่า > จอภาพและความสว่าง > หน้าจอเปิดตลอด > แตะปิดสวิตช์
2. ปิดการตอบสนองสัมผัสเมื่อพิมพ์
แม้ว่าจะไม่มีการวิจัยว่าฟีเจอร์นี้กินพลังงานแบตเตอรี่ iPhone เท่าไร แต่ถ้าใครที่มีไลฟ์สไตล์การใช้งานส่วนใหญ่เป็น การพิมพ์ข้อความแชท หรือพิมพ์จดบันทึกบนมือถือ ที่มอเตอร์จะต้องสั่นสะเทือนทุกครั้งเพื่อตอบสนองต่อสัมผัสบนแป้นพิมพ์มันหมายถึงพลังงานของแบตเตอรี่ที่กำลังสูญเสียไป

วิธีการ: ไปที่ การตั้งค่า > เสียงและการสั่น > การตอบสนองแป้นพิมพ์ > ปิดตรง “สั่น” และถ้าอยากให้ประหยัดแบตเตอรี่เพิ่มอีกเล็กน้อย ก็ปิดตรง “เสียง” ไปด้วยก็ได้
3. ปิดการตรวจจับ “Hey Siri”
หากคุณไม่ได้จะต้องเรียกใช้งาน Siri บ่อยๆ มันก็ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องคุตั้งค่าให้ iPhone คอยรอรับคำสั่ง “Hey Siri” อยู่ตลอดเวลา ในเมื่อคุณสามารถกดปุ่มด้านข้างค้างไว้เพื่อเรียก Siri ขึ้นมาได้ ซึ่งวิธีหลังนี้จะช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้มากกว่าการเปิดระบบตรวจจับคำสั่งเสียงค้างไว้

วิธีการ: ไปที่ การตั้งค่า > Siri และการค้นหา > แตะปิด “ฟัง “หวัดดี Siri”
4. ลดจำนวนการแจ้งเตือนที่ได้รับ
เมื่อมีการแจ้งเตือนเด้งเข้ามาสิ่งที่จะเกิดขึ้นบนมือถือคือ หน้าจอจะสว่างขึ้นมาชั่วขณะ, มีเสียง และ สั่น (ในกรณีที่เปิดไว้) และถ้าหากบนมือถือมีการติดตั้งแอปไว้เป็นจำนวนมาก แต่ไม่เคยมีการจัดการด้านการตั้งค่าแจ้งเตือนมาก่อน มันก็อาจจะนำไปสู่การสูญเสียแบตเตอรี่แบบไม่รู้ตัว

วิธีการ: ไปที่แอป การตั้งค่า และเลื่อนลงเพื่อค้นหาแอปที่คุณต้องการปิดการแจ้งเตือน แตะที่แอปนั้น จากนั้นแตะ “การแจ้งเตือน” จะมีสวิตช์หลักอยู่ด้านบนสุดของ UI ที่ช่วยให้ปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดได้ และมีตัวเลือกย่อยด้านล่างเพื่อปรับแต่งรูปแบบการแจ้งเตือน
5. ปิดการแชร์ AirDrop ในบริเวณใกล้เคียง
ใน iOS 17 จะมีฟีเจอร์ดีๆ อย่างการแชร์ข้อมูลติดต่อ, ไฟล์ และอื่น ๆ กับผู้อื่นๆ ได้ทันที เพียงแค่นำ iPhone, Apple Watch หรือทั้งสองอย่างแตะไว้ใกล้ๆ กัน แต่การเปิดฟีเจอร์นี้ไว้ตลอดเวลาอาจทำให้เสียพลังงานแบตเตอรี่ไปแบบเปล่าประโยชน์ เนื่องจากระบบจะคอยค้นหาอุปกรณ์ Apple อื่นๆ อยู่ตลอดเวลา และจะดีกว่าไหมถ้าเพียงแค่เราปิดฟีเจอร์นี้ แต่ยังคงใช้งาน AirDrop ในรูปแบบอื่นๆ ได้

วิธีการ: ไปที่ การตั้งค่า > ทั่วไป > AirDrop > ปิด “การนำอุปกรณ์ทั้งสองมาไว้ใกล้กัน”
6. หลีกเลี่ยงการใช้ Live Activities
Live Activities เป็นฟีเจอร์ที่เปิดตัวพร้อมกับ iPhone 14 Pro series และ Dynamic Island โดยฟีเจอร์นี้จะแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์จากแอปต่างๆ โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเปิดแอปแบบเต็มหน้าจอ
ฟีเจอร์นี้เหมาะสำหรับติดตามผลการแข่งขันกีฬา, การเดินทางของ Grab หรือแพลตฟอร์มขนส่งต่างๆ รวมถึงความคืบหน้าการอัปโหลดไฟล์บนแอป Instagram และอื่นๆ อย่างไรก็ตาม Live Activities สามารถทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นได้ หากต้องการจะประหยัดแบตเตอรี่ให้มากที่สุดก็ควรปิดฟีเจอร์นี้

วิธีการ: ไปที่แอป การตั้งค่า และค้นหาแอปที่รองรับ กิจกรรมสด (Live Activities) > แตะที่แอป > ปิด “กิจกรรมสด” นอกจากนี้ยังสามารถปิดได้ตรง การตั้งค่า > Face ID และ รหัส > เลื่อนลงมาจนเจอ “กิจกรรมสด” > ปิด
7. ตรวจสอบวิดเจ็ตบนหน้าจอล็อก
วิดเจ็ตบนหน้าจอล็อก (Lock Screen) ใน iOS เป็นสิ่งที่ทำให้หน้าจอมือถือมีความสวยงาม และยังเป็นตัวช่วยเพื่อข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเปิดแอป
แต่สำหรับวิดเจ็ตของแอปบางตัวที่ต้องมีการอัพเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่องก็เป็นตัวการที่ทำให้ แบตเตอรี่ iPhone หมดไวขึ้น

วิธีการ: แตะปลุก iPhone > กดค้างที่หน้าจอล็อกเพื่อเข้าสู่โหมดการปรับแต่ง > แตะ “ปรับแต่ง” > เลือกหน้าจอล็อก > ลบหรือแก้ไขวิดเจ็ตที่คิดว่ากินแบตเตอรี่ โดยสังเกตจากวิดเจ็ตที่ต้องมีการอัพเดตข้อมูลอยู่ตลอดเวลา
8. จำกัดอัตราการรีเฟรชของจอ
เจ้าของ iPhone โมเดล Pro รุ่นใหม่ๆ เชื่อว่าช่วงแรกจะต้องรู้สึกชอบความสมูธของแอนิเมชั่นที่แสดงบนจอเวลาที่ไถนิ้ว ด้วยอัตราการรีเฟรชของจอที่สูงถึง 120Hz แต่อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ทำให้มือถือใช้พลังงานมากกว่าอัตราการรีเฟรชทั่วไปอย่าง 60Hz ปกติ ซึ่งถ้าคุณไม่ได้ซีเรียสอะไรกับจุดนี้ก็แนะนำให้ปิดไปจะดีกว่า

วิธีการ: ไปที่ การตั้งค่า > การช่วยเหลือการเข้าถึง > การเคลื่อนไหว > เปิด “จำกัดอัตราเฟรม” ซึ่งจะลดการแสดงผลลงเหลือ 60Hz
9. ปิดการรีเฟรชแอปพื้นหลัง (Background App Refresh)
แอปส่วนใหญ่ที่ต้องใช้งานอินเตอร์เน็ตเพื่อดึงข้อมูล และต้องรีเฟรชในพื้นหลังการทำงานของระบบ ซึ่งนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่อัพเดตในทันทีที่แตะเข้าไปในแอป แต่ในกรณีที่แอปดังกล่าวมีการทำงานที่ผิดพลาด สิ่งนี้ก็อาจจะส่งผลร้ายแรงต่ออายุแบตเตอรี่ iPhone

วิธีการ: ไปที่ การตั้งค่า > ทั่วไป > ดึงข้อมูลแอปอยู่เบื้องหลัง > แตะปิด “ดึงข้อมูลแอปอยู่เบื้องหลัง” หรือเลือกปิดให้เหลือเฉพาะแอปที่จำเป็น
10. ใช้การชาร์จเพื่อถนอมแบตเตอรี่
หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการรักษาอายุการใช้งานแบตเตอรี่ iPhone คือการใช้ฟีเจอร์การชาร์จเพื่อถนอมแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ปรับความเร็วในการชาร์จโดยอัตโนมัติตามช่วงเวลาที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณชาร์จมือถือก่อนเข้านอน มือถือจะชาร์จไวจนแบตเตอรี่แตะ 80% ก่อนที่จะลดแรงดันไฟลงแล้วค่อยๆ จ่ายพลังงานเพื่อให้แบตเตอรี่เต็ม 100% เมื่อคุณตื่นนอน ซึ่งเป็นทางเลือกที่ถนอนสุขภาพแบตเตอรี่มากกว่าการบังคับให้ชาร์จเร็วตลอดเวลา

วิธีการ: ไปที่ การตั้งค่า > แบตเตอรี่ > สุขภาพแบตเตอรี่และการชาร์จ > เปิด “การชาร์จเพื่อถนอมแบตเตอรี่”
ทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีการตั้งค่า iPhone ให้ถนอมแบตเตอรี่และมีอายุการใช้งานเพียงพอตลอดทั้งวัน แต่ถ้าฉุกเฉินจริงๆ ก็ต้องใช้วิธีกำปั้นทุบดิน อย่างการเปิด “โหมดประหยัดพลังงาน” ด้วยการ ปัดหน้าจอลงจากมุมขวาบนเพื่อเข้าถึง “ศูนย์ควบคุม” > แตะไอคอนแบตเตอรี่ “โหมดประหยัดพลังงาน” เมื่อเปิดใช้งานตัวแสดงสถานะแบตเตอรี่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือในกรณีที่หา ไอคอน “โหมดประหยัดพลังงาน” ในศูนย์ควบคุมไม่เจอ ให้เข้าไปที่ ตั้งค่า > ศูนย์ควบคุม > เลือกเปิด “โหมดประหยัดพลังงาน”

5 แอปแต่งรูป AI ฟรี!! ใช้ง่าย ตอบโจทย์มือใหม่ มีให้โหลดทั้ง iOS / Android